วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2551
Service Manual
โดยสินค้าอย่างหนึ่งที่ผมซื้อมาก็คือ ไขควงสำหรับมือถือ 1 ชุด 20 บาท ที่ซื้อมาก็กะจะนำมาถอดมือถือเครื่องที่ผมใช้งานอยู่กับเครื่องที่พี่สาวให้มา โดยเครื่องของผมนั้นเป็นรุ่น 8210 ซึ่งผมซื้อมานานมากแล้ว สมัยที่รุ่นนี้ออกใหม่ ๆ สมัยนั้นราคา 25,000 บาท หน้าจอขาวดำ ไม่มีวิทยุ ตอนนั้นที่ตัดสินใจซื้อตัวนี้ก็เพราะเป็นรุ่นที่เล็กและบางที่สุด ก็ใช้งานได้ดี จนถึงปีที่สามหน้าจอเริ่มติด ๆ หาย ๆ
ผมก็ทนใช้เรื่อยมา และช่วงต้นปีที่ผ่านมาพี่สาวผมที่ใช้งานเครื่องรุ่น 6610 ได้ทำเครื่องตก ทำให้หน้าจอไม่แสดงภาพใด ๆ ก็ส่งมาให้ผมช่วยนำข้อมูลภายในเครื่องออกมาให้ โดยผมใช้อินฟราเรดดึงข้อมูลรายชื่อออกมาให้ และพี่สาวก็ทิ้งเครื่องนี้ให้ผม และไปซื้อเครื่องใหม่
ทั้งสองเครื่องผมก็ทิ้งไว้ไม่ได้ทำอะไร จนเมื่อคืนหลังจากได้ไขควงสำหรับมือถือมา ผมก็จัดการรื้อเครื่องทันทีที่กลับถึงบ้าน
แต่ก่อนอื่น เพื่อป้องกันฝรั่งทำเกิน ก็ต้องหาคู่มือในการถอดซะหน่อย
ปกติเวลาที่ผมจะรื้ออุปกรณ์อะไรก็ตาม ผมมักจะหาดาวน์โหลด Service Manual ของอุปกรณ์ชิ้นนั้น ๆ มาประกอบในการทำงาน อย่างเช่นปริ้นเตอร์ HP 1000 series, Samsung CLP-500 หรือรถยนต์เปอร์โยต์ของผม
ดังนั้น ผมก็เข้าไปดาวน์โหลดคู่มือของมือถือทั้งสองรุ่นทันที โดยเว็บที่ผมใช้บริการสำหรับงานนี้ก็คือ http://www.eserviceinfo.com/ นั่นเอง
หลังจากที่ดาวน์โหลดคู่มือของมือถือทั้งสองรุ่นเรียบร้อยแล้ว ผมก็จัดการถอดชิ้นส่วนมือถือรุ่น 6610 ก่อน สิ่งที่ผมทำกับเครื่องก็คือ ผมรีดส่วนที่เป็นสายแพหรือสายนำสัญญาณของหน้าจอ LCD ให้แนบสนิทขึ้น พร้อมเสริมกระดาษแผ่นบาง ๆ เพื่อเสริมแรงกดสายแพให้สนิทยิ่งขึ้น จากนั้นก็ทำความสะอาดส่วนต่าง ๆ ก็ใช้สเปรย์แอลกอฮอล์ ฟิลิปส์ กระป๋องฟ้า ฉีดและเช็ดทำความสะอาดจุดสัมผัสที่เป็นทองเหลืองต่าง ๆ ให้สะอาด
และประกอบกลับให้เหมือนเดิม แล้วเปิดใช้งาน ก็ปรากฏว่าหน้าจอที่เคยหายไป ก็กลับมาชัดแจ๋วดังเดิม
หลังจากประสบความสำเร็จไปหนึ่งเครื่อง ผมก็เริ่มรื้อเครื่อง 8210 ต่อทันที เครื่องนี้ต้องบอกว่าสกปรกมาก เพราะโดยปกติแล้ว ผมจะเก็บมือถือไว้ในกระเป๋ากางเกง ฝุ่นผ้าต่าง ๆ เข้าไปเกาะอยู่เป็นจำนวนมาก ผมก็ใช้แปรงสีฟันเก่า ๆ ในการแปรงฝุ่นออก และฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์และเช็ดทำความสะอาดจุดคอนแทคต่าง ๆ ให้สะอาด จากนั้นก็ประกอบกลับดังเดิม ก็ปรากฏว่าใช้งานได้ดี หน้าจอชัดแจ๋วยังไม่มีดับ
ก็อยากบอกเพื่อน ๆ ว่าก่อนถอดประกอบอะไรก็ตาม ขอให้พยายามหา Service Manual มาศึกษาก่อนนะครับ จะได้เห็นจุดที่เราควรระวัง และหลังจากประกอบคืน จะได้ไม่ต้องโทษว่าฝรั่งทำเกินอีก
วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2551
ทา ทา พร้อมหรือยัง
ช่วงนี้ราคาน้ำมันแพงขึ้นทุกวัน คนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัว คงทราบดีว่าสัดส่วนรายจ่ายที่เป็นค่าน้ำมันคำนวนออกมาแล้วเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ต่อรายจ่ายทั้งหมด ผมก็มีรถยนต์เก่า ๆ อยู่คันหนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่ได้ขับมานานหลายเดือนแล้ว ด้วยที่ว่าโดยส่วนใหญ๋ผมจะนั่งรถประจำทางหรือไม่ก็รถไฟฟ้า หรือไม่ก็เดิน
วันก่อนผมดูรายการพลังงานแห่งอนาคตทางช่องโมเดิร์นไนน์ ผมทึ่งมากเลยกับการนำเอาอากาศมาเป็นพลังงานขับเคลื่อนรถยนต์ โดยผู้คิดค้นใช้วิธีอัดอากาศเก็บไว้ในถัง แล้วนำอากาศในถังมาใช้ในการส่งพลังขับเคลื่อนเครื่องยนต์ ไม่มีไอเสีย เยี่ยมมากเลย
สมัยเด็ก ผมฝันที่จะสร้างรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นมา โดยรูปแบบก็คือใช้พลังงานไฟฟ้าต้มน้ำ แล้วใช้ไอน้ำมาผลิตไฟฟ้าเพื่อขับเคลื่อนมอเตอร์ หลักการก็คือรถยนต์ไอน้ำไฟฟ้านั่นเอง ก็เป็นความคิดของผมที่ไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้วจะสร้างได้หรือเปล่า เพราะผมก็ไม่ได้เรียนมาทางนี้
กลับมาที่รถยนต์ ทา ทา รุ่นถูกที่สุดในโลก มีหลายคนที่บอกว่ารถรุ่นนี้หากนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย คงไม่ประสบความสำเร็จ เพราะคนไทยรายได้ต่ำ รสนิยมสูง แต่ผมกลับมองว่าไม่ใช่
ในสถานการณ์ที่ราคาน้ำมันแพงอย่างนี้ คนที่มีรายได้ประจำไม่เกินสองหมื่นบาทต่อเดือน ที่ต้องการรถยนต์ไว้ใช้งาน ต้องการรถยนต์ที่ประหยัดน้ำมัน ซึ่งตรงนี้ผมมองว่าเป็นช่องว่างของตลาดที่ยังไม่มีใครลงมาเล่น
หากทา ทา ต้องการเข้ามาทำตลาดเมืองไทย ผมคิดว่าควรเปิดตัวด้วยรถยนต์รุ่นนี้ เพื่อสร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักก่อน แล้วค่อยเปิดตัวรถกระบะต่อไป นั่นคือควรที่จะวางตำแหน่งทา ทา อยู่ที่รถราคาถูกในใจผู้บริโภคก่อน
แต่ทา ทา ตอนนี้มีแผนที่จะเปิดตัวรถกระบะก่อน และกำลังโหมสร้างภาพลักษณ์บริษัทต่าง ๆ นา นา ซึ่งผมมองว่าเป็นการลงทุนที่สูญเปล่า
สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ก็คือ หาตัวแทนจำหน่ายในแต่ละจังหวัดให้ครบ พร้อมทั้งหาตัวแทนจำหน่ายอะหลั่ยในพื้นที่ยุทธศาสตร์ เช่น วรจักร และเปิดสอนการซ่อมรถทา ทา ให้กับช่างซ่อมรถทั่วประเทศ จากนั้นก็เปิดตัวรถยนต์ ทา ทา นาโน เพื่อสร้างตำแหน่งการตลาดในใจผู้บริโภค แล้วค่อยตามด้วยการเปิดตัวรถกระบะ
อย่าให้ผู้บริโภคมองว่ารถทา ทา เป็นรถใช้แล้วทิ้ง เพราะจากประสบการณ์เดิม ๆ รถยนต์หลายแบรนด์ที่เข้ามาทำตลาดในไทย ทำตลาดได้ซักปี-สองปี ก็หายไปจากตลาด กลายเป็นว่าเมื่อเสียแล้วหาที่ซ่อมไม่ได้ ทำให้เกิดความกังวลในใจของหลาย ๆ คนที่ตัดสินใจทดลองใช้รถแบรนด์ใหม่ ๆ
อีกอย่าง จุดแข็งของ ทา ทา ก็คือรถยนต์ราคาถูก ถ้าเริ่มต้นด้วยการเข้าไปแข่งขันในตลาดรถกระบะทันที ที่มีคู่แข่งที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ในขณะที่ตำแหน่งทางการตลาดของทา ทาไม่ชัดเจน คงประสบผลสำเร็จได้ยาก
และเหตุผลที่กลุ่มเป้าหมายจะเลือกซื้อรถยนต์หรือรถกระบะซักคัน เค้ามีหลักการในการเลือกซื้ออะไรบ้าง เช่น มีศูนย์บริการทั่วประเทศ อะหลั่ยหาง่าย คุณภาพดี ประหยัดน้ำมัน สิ่งอำนวยความสะดวกในรถ ราคาเหมาะสม ขายต่อง่าย ได้ราคาดี เป็นต้น แล้วทา ทา มีสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ครบถ้วนหรือยัง หากทา ทา วางตัวเองเป็นรถคุณภาพดีเทียบเท่ากับคู่แข่งที่มีอยู่ในตลาดแล้ว นั่นก็จะไม่แตกต่าง แล้วทำไมผู้บริโภคต้องลองทา ทา ด้วยล่ะ
ผมแค่หวังให้ทา ทาอยู่ในตลาดนาน ๆ เพราะเมื่อมีการแข่งขัน ก็มีการพัฒนา ผู้บริโภคก็จะได้เลือกสิ่งที่ดีมาใช้งาน เพียงแต่ทา ทา น่ะ พร้อมหรือยัง?
วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551
สตาร์บั๊คคอนโด
วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2551
วิธีการเติมหมึก PG-40 & CL-41 สำหรับ MP-160
อุปกรณ์
- หมึกสีที่ต้องการเติม สีดำ 15 ml. สีอื่น สีละ 5 ml.
- สว่านหรืออุปกรณ์ที่สามารถเจาะรูพลาสติคได้
- ไซลิง (หลอดฉีดยา) ขนาด 15 ml.
- เข็มฉีดยาขนาดความยาว 1 นิ้ว
- ถุงมือยางหรืออื่น ๆ 1 คู่
- กระดาษทิชชู่ 1 ม้วน
- ตัวดูดหมึกด้านหัวพิมพ์ (ออพชั่น)
อุปกรณ์ต่าง ๆ ยกเว้นหมึกสามารถซื้อได้ที่ร้านขายยาทั่วไป
ขั้นตอน
- เปิดเครื่องพิมพ์
- ยกส่วนสแกนขึ้นมา ตลับหมึกจะเลื่อนออกมาด้านซ้ายมือ หรือถ้าไม่เลื่อน ก็ให้กดปุ่ม Maintenance (รูปเครื่องมือ อยู่ซ้ายสุด) 1 ครั้ง
- ข้อควรระวัง ห้ามแตะถูกชิ้นส่วนที่เป็นโลหะ และสายพลาสติคใสภายในเครื่องพิมพ์ เพราะอาจทำให้อุปกรณ์ภายในเสียหายได้ บางเว็บจึงแนะนำให้ถอดปลั๊กไฟออกก่อนเอาตลับหมึกออกมา
- ใช้นิ้วโป้งกดท้ายตลับหมึกด้านบนลงไป แล้วดึงเข้าหาตัว จากนั้นหยิบตลับหมึกออกมา
- สวมถุงมือ
- แกะสติ๊กเกอร์ที่ปิดอยู่ด้านบนตลับออก จะมองเห็นรู โดยมีตำแหน่งดังรูปด้านล่าง
- ใช้สว่านเจาะรูพอให้เข็มฉีดยาแทงเข้าไปได้
- ต่อเข็มฉีดยากับหลอดฉีดยา และดูดหมึกตามปริมาณดังนี้
- หมึกสีดำ ให้ดูดหมึกปริมาตร 15 ml.
- หมึกสี ให้ดูดหมึกปริมาตร 5 ml.
- ปักเข็มฉีดยาลงในรูที่เจาะไว้ โดยให้เหลือส่วนของเข็มฉีดยาขึ้นมา 5 mm.
- ค่อย ๆ ฉีดหมึกลงในตลับ โดยใช้ความเร็ว 1 ml.ต่อ 2 วินาที
- หากหมึกล้นออกมา สำหรับหมึกสีดำให้ดูดหมึกกลับ 1 ml. ส่วนสีอื่นให้ดูดหมึกกลับ 0.2 ml
- ถ้ามีตัวดูดหมึกด้านหัวพิมพ์ก็ให้ดูดหมึกสีดำ 1 ml. หมึกสี 0.5 ml. ไม่เช่นนั้นควรวางทิ้งไว้หนึ่งคืน เพื่อให้ฟองอากาศภายในลอยขึ้นมาและหมึกซึมซาบทั่วหัวพิมพ์และตลับหมึก
- ปิดเทปใสปิดรูที่เจาะไว้
- ใช้ทิชชู่ซับน้ำหมึกที่หัวพิมพ์ด้านล่าง
- ใส่ตลับหมึกกลับสู่เครื่องพิมพ์
- ตลับหมึกดำใส่ช่อง B ด้านซ้ายมือ ตลับหมึกสีใส่ช่อง C ด้านขวามือ
- เสียบปลั๊กไฟ และกดปุ่ม ON/OFF เปิดเครื่องปริ้นท์
- กดปุ่ม Maintenence ให้หน้าจอ LED แสดงตัวอักษร H แล้วกดปุ่ม Color เพื่อสั่งล้างหัวพิมพ์
- ใส่กระดาษ 1 ใบ จากนั้นกดปุ่ม Maintenance ให้หน้าจอแสดงตัวอักษร A แล้วกดปุ่ม Color เพื่อพิมพ์รูปแบบตรวจหัวฉีด
- ตรวจสอบงานที่ได้ ถ้าคุณภาพที่ได้ยังไม่ดี ให้กดปุ่ม Maintenance ให้หน้าจอแสดงตัวอักษร y เพื่อสั่งล้างหัวพิมพ์อย่างละเอียด
- ทำขั้นตอนที่ 18 ซ้ำอีกครั้ง
- ปิดเครื่องพิมพ์ และถอดปลั๊กออก
- ให้ทำการรีเซตตลับหมึกด้วยวิธีที่เคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้
To do list
คนที่สอนผมก็คือ หัวหน้าของผมในขณะนั้นนั่นเอง ผมเรียกเขาว่าพี่หนุ่มครับ ช่วงนั้นผมทำงานเป็นผู้ช่วยพี่หนุ่ม และก็จะได้รับงานต่าง ๆ ให้มาทำมากมาย ทุกครั้งที่ผมได้เข้าไปพูดคุยเรื่องงานกับพี่หนุ่ม ผมได้เรียนรู้อย่างนึงก็คือ พี่หนุ่มจะมีสมุดไดอารี่อยู่เล่มหนึ่ง ทุกเย็นก่อนพี่หนุ่มกลับบ้าน พี่เขาจะจดรายการงานที่จะต้องทำในวันพรุ่งนี้ทั้งหมดออกมา
แรก ๆ ผมก็ยังไม่รู้สึกอะไรหรอกครับ แต่พอนานไปผมก็เริ่มซึมซับวิธีการทำงานของพี่เขามา เพราะฉะนั้นการมีเจ้านายเก่งก็จะช่วยให้เรากลายเป็นคนเก่งตามไปด้วย ถ้าเพื่อน ๆ ถูกโอนย้ายไปอยู่กับเจ้านายที่แย่ ก็ขอให้พยายามเปลี่ยนเถอะครับ ไม่งั้นก็จะซึมซับเอาสิ่งที่แย่มาด้วย
พอผมเริ่มจดงานที่จะต้องทำในวันพรุ่งนี้ทุกเย็นก่อนกลับบ้าน พอเช้ามาผมสามารถทำงานต่าง ๆ เหล่านั้นได้อย่างรวดเร็วขึ้น งานใดที่ทำเสร็จแล้วก็ติ๊กว่าทำแล้ว รายการใดที่ยังไม่ได้ทำ ก็สามารถสังเกตุเห็นได้ง่าย ทำให้ผมสามารถทำงานต่าง ๆ ในความรับผิดชอบได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้สามารถรับงานใหม่ ๆ หรือคิดวิธีปรับปรุงงานเดิมได้มากขึ้น
ผมก็อยากให้เพื่อน ๆ ลองทำดูนะครับ จด To do ทุกเย็นก่อนกลับบ้าน แล้วทุกเช้าก็พยายามเคลียร์งานที่ต้องทำเหล่านั้นให้หมดไป แล้วชีวิตจะดีขึ้นอย่างแน่นอน
หลัก 80:20 กับ PivotChart
ส่วนใหญ่ผมใช้งาน Excel ในการวิเคราะห์ยอดขายหรือส่วนแบ่งตลาด ก็จะนำข้อมูลดิบมาย่อยให้เล็กลง วิธีนึงในการย่อยข้อมูลก็คือ หลักการ 80:20
หลักการ 80:20 หรือหลักการพาเรโต เป็นหลักการที่ว่าด้วย ผลลัพธ์ 80% เกิดจากการกระทำ 20% เช่น 80% ของยอดขายเกิดจากลูกค้าหลัก 20% เท่านั้น ดังนั้นถ้าหากเราต้องการเพิ่มยอดขายในระยะสั้น เราเพียงทำโปรโมชั่นกับลูกค้า 20% นี้ แล้วทำอย่างไรเราจะสามารถดึง 20% นี้ออกมาใช้งานได้อย่างรวดเร็ว?
ในโปรแกรม Microsoft Excel จะมีฟังก์ชั่น PivotTable ที่ช่วยสรุปข้อมูลดิบออกมาให้เราอ่านได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งผมก็อยากแนะนำให้เพื่อน ๆ ลองศึกษาและทดลองใช้งานดู แต่ข้อมูลที่ได้จาก PivotTable นี้จะได้ออกมาเป็นตัวเลขรวม และหากต้องการหาสัดส่วนร้อยละ ก็ต้องเข้าไปเซ้ตค่าเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย และหากมีการโยกย้ายหรือสลับสับเปลี่ยนข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ ก็จะต้องสร้างตัวเลขสัดส่วนขึ้นมาใหม่ทุกครั้งไป แล้วมีวิธีการใดที่จะช่วยให้เราสามารถอ่านข้อมูลได้เร็วกว่านี้บ้าง
ก็มีอีกฟังก์ชั่นนึงที่ Excel มีอยู่แล้วก็คือ PivotChart นั่นเอง เพราะเมื่อเราสร้าง PivotChart เราสามารถมองเห็นภาพจุดที่ผิดปกติได้ทันที และสามารถเจาะลึกเข้าไปดูข้อมูลนั้น ๆ ได้อย่างรวดเร็วด้วย PivotTable ต่อไป
เพื่อน ๆ ลองใช้ดูนะครับ แล้วเพื่อน ๆ จะได้มีเวลาทำงานอย่างอื่นมากขึ้น และหากมีข้อสงสัยประการใด ก็สอบถามเข้ามาได้ครับ
วิธีรีเซตตลับหมึก Canon MP160
ที่สนใจขณะนั้นก็คือ อยากได้ปริ้นเตอร์แบบ All in One ที่สามารถปริ้นท์สีและสแกนรูปได้ ก็เดิน ๆ หารุ่นที่ถูกที่สุด ก็มาเจอแคนนอน รุ่น MP160 ราคา 2,200 บาท ตรงตามความต้องการ พร้อมโปรโมชั่นแถมบัตรเติมน้ำมัน 300 บาทอีกด้วย ก็เลยตกลงเอาตัวนี้ล่ะตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจว่าถ้าหมึกหมด แล้วต้องซื้อเปลี่ยนเป็นราคาเท่าไหร่ เพราะตั้งใจแล้วว่าจะใช้วิธีซื้อหมึกเทียบมาเติมอยู่แล้ว
เครื่องปริ้นท์รุ่นนี้ก็ใช้งานได้ดี พิมพ์เร็ว สแกนเร็ว แต่ขอบอกว่าพิมพ์รูปสีอาจไม่สวยนัก เพราะใช้หมึก 4 สี ถ้าเพื่อน ๆ เน้นพิมพ์รูป ผมแนะนำให้เปลี่ยนไปซื้อแบบ 6-8 สีแทน ซึ่งจะพิมพ์รูปภาพได้สีที่ใกล้เคียงมากกว่า
ช่วงแรกที่ใช้เองก็ไม่ค่อยได้ปริ้นท์งานมากนัก แต่หลังจากเปิดร้านอินเตอร์เน็ต ผมก็เอาไปใช้ที่ร้านด้วย ปรากฏว่าหมึกหมดเร็วมาก ต้องเติมหมึกทุก 2-3 สัปดาห์ โดยผมใช้เครื่องนี้สำหรับปริ้นท์สีให้ลูกค้า ส่วนปริ้นท์ขาว-ดำ ผมมีเครื่อง HP 1000 series ใช้อยู่
เติมหมึกครั้งใด มือเปื้อนสีทุกครั้ง ก็เลยคิดว่า อย่ากระนั้นเลย เอาไปต่อแทงค์ดีกว่า ก็หมดไปอีก 1,500 บาท และก็ใช้มาจนปัจจุบันนี้ อ้อ ลืมบอกไปตลับหมึกแท้รุ่นนี้ ใช้ 2 ตลับ ซื้อคู่กัน 1,300 บาทครับ ซื้อ 2 ครั้งก็ได้เครื่องใหม่แล้ว
มาเมื่อต้นเดือนนี่เอง ผมได้เครื่องปริ้นท์รุ่นนี้มาอีกตัวนึง ก็เลยเอามาใช้ส่วนตัว เพียงแต่ตัวที่ได้มานี้แกนดึงกระดาษหักไป ซึ่งผมก็ตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะเกิดจากการดึงกระดาษในขณะกระดาษติดไม่ถูกวิธีของผู้ใช้คนเดิม เวลาใช้งานเครื่องก็จะดึงกระดาษคราวละหลาย ๆ แผ่น และกระดาษก็จะเบี้ยว ทำให้งานที่ปริ้นท์ออกมาใช้ไม่ได้
ก็เลยตัดสินใจซ่อมดีกว่า ผมก็ลองไปถามที่ศูนย์แคนนอนที่พันธุ์ทิพดู ปรากฏว่าค่าอะไหล่ 400 กว่าบาท ค่าแรงอีก 500 รวมแล้ว 900 นิด ๆ เหมือนซื้อเครื่องเปล่าที่ไม่มีตลับหมึกเลยนะนั่น ผมก็เลยตัดสินใจซ่อมเองดีกว่า ก็ลงมือรื้อเลยครับ ก็พยายามอยู่ 3 วัน ในที่สุดก็รื้อจนเข้าไปถึงแกนดึงกระดาษที่หักได้
ก็คิดว่าจะซ่อมยังไงดีเนี่ย แกนที่หักก็ไม่รู้หายไปไหนแล้ว จะเอามาติดกาวตราช้างซะหน่อย ก็เลยมองหาอะไรที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางในขนาดที่พอ ๆ กับแกนเดิม ก็นึกถึงไม้จิ้มฟัน เพราะดูน่าจะแข็งแรงดี และมีรูปร่างกลมเหมือนแกนเดิมด้วย แต่ถ้าตัดแล้วเอามาติดกาวตราช้างใช้งานเลย อาจจะใช้งานไม่ทน ก็เลยตัดสินใจเจาะรูตรงแกนเดิมให้ลึกเข้าไปประมาณ 3/4 ซม. แล้วก็ตัดไม้จิ้มฟันให้ยาวประมาณ 1 ซม. สอดเข้าไปโดยหยอดกาวตราช้างเข้าไปในรูด้วย พอกาวแห้ง ผมก็ลองประกอบกลับ ก็ใช้งานได้ดีครับ เพื่อน ๆ นำวิธีผมไปใช้ได้นะครับ
เครื่องปริ้นท์เครื่องนี้ผมไม่ได้ต่อแทงค์ ใช้วิธีการเติมหมึกใส่ตลับเดิม แต่เมื่อเติมหมึกแล้วใส่กลับเข้าไปใช้งาน เครื่องก็จะเตือนว่าหมึกหมดอยู่ดี แต่ก็ยังสามารถใช้งานได้ ผมก็เข้าไปหลาย ๆ เว็บเพื่อค้นหาวิธีรีเซตตลับหมึก เพราะบางคนบอกว่าถ้าหมึกหมดแล้วยังสั่งปริ้นท์ต่อไปอาจทำให้หัวพิมพ์ที่ติดอยู่กับตลับหมึกเสียหายได้ ซื้อชุดใหม่ก็อีก 1,300 บาท
ผมก็เข้าไปหลาย ๆ เว็บ ซึ่งก็มีวิธีรีเซตตลับหมึกอยู่หลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะใช้วิธีกดปุ่มบนตัวเครื่อง วิธีปิดเทปที่ตัวตลับ และวิธีใช้โปรแกรมรีเซต ซึ่งผมก็สนใจวิธีใช้โปรแกรมรีเซตมาก โดยโปรแกรมตัวนี้ชื่อ MPTool สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บ http://ipt.nm.ru/ ครับ มีเวอร์ชั่นสำหรับเครื่องปริ้นท์รุ่น IP ด้วยนะครับ
หลังจากดาวน์โหลดมาก็ทดลองใช้งานดูปรากฏว่าใช้ไม่ได้ ปรากฏว่าก่อนที่จะใช้งานโปรแกรมนี้ เราต้องเซ็ตเครื่องพิมพ์ให้อยู่ใน Service Mode ก่อน ผมก็อ่านจากในเว็บของเจ้าของโปรแกรมแล้วก็ไม่เข้าใจ (ใช้ Google แปลภาษารัสเซียเป็นภาษาอังกฤษ) ก็เลยลองหาข้อมูลจากเว็บต่าง ๆ และก็ไปเจอวิธีเซ็ตเครื่องปริ้นท์ให้อยู่ใน Service mode ในเว็บบอร์ดเมืองนอกแห่งหนึ่ง ต้องขออภัยด้วยที่จำเว็บแอดเดรสไม่ได้แล้ว ผมก็ลองทำตามดู ปรากฏว่าใช้ได้ ผมก็เลยอยากเผยแพร่ให้เพื่อน ๆ ได้ทราบกัน จะได้ไม่เสียเวลา
วิธีเซ็ตเครื่องปริ้นท์ให้อยู่ใน Service Mode มีดังนี้ครับ
- ถอดปลั๊กไฟเครื่องปริ้นท์ออก แต่ผมแนะนำให้ใช้เต้าเสียบปลั๊กไฟที่มีสวิตซ์เปิด/ปิดแทนดีกว่า
- กดปุ่ม ON/OFF เครื่องปริ้นท์ค้างไว้ แล้วเสียบปลั๊กไฟเครื่องปริ้นท์ หรือเปิดสวิตซ์ไฟที่เต้าเสียบปลั๊ก
- เมื่อเสียบปลั๊กไฟ สวิตซ์ ON/OFF จะมีไฟสว่างสีเขียวติดขึ้นมา ก็ขอให้กดปุ่ม ON/OFF ค้างไว้ต่อไป
- ให้กดปุ่ม Stop/Reset [เครื่องรุ่นอื่นอาจเป็นปุ่ม Resume] 1 ครั้ง (กดแล้วปล่อย)
- จากนั้นปล่อยปุ่มกด ON/OFF และไฟสีเขียวที่ปุ่ม ON/OFF จะดับ
- ไฟสีส้มที่ Alarm จะสว่าง ซึ่งแสดงว่าเราได้เข้าสู่ Service Mode แล้ว
- ก็เปิดโปรแกรม MPTool แล้วก็คลิกปุ่ม Reset หมึกดำ โปรแกรมก็จะอ่านข้อมูลในเครื่องและเขียนข้อมูลใหม่ลงไป เมื่อเสร็จแล้ว จะเห็นว่าระดับหมึกสีดำจะเปลี่ยนจาก 0% เป็น 100% ก็ให้กดปุ่ม Reset หมึกสีเป็นลำดับถัดไป เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอน หมึกสีทุกสีก็จะกลับกลายเป็น 100% เช่นกัน
- ปิดโปรแกรม และถอดปลั๊กไฟเครื่องปริ้นท์ และเมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาใหม่ และลองตรวจสอบสถานะสีจากโปรแกรมเครื่องพิมพ์ ก็จะเห็นว่า ทั้งหมึกดำและหมึกสีมีสถานะเต็มครับ และไฟเตือนที่เครื่องปริ้นท์ก็จะดับไป
ทำไมต้อง ปลาหมึก
หลังจากที่พักผ่อนมาเกือบปี ก็ถึงเวลาทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักที ก็เลยตัดสินใจเขียนบล็อก เพื่อเป็นการฝึกความสามารถในการถ่ายทอดข้อมูล และเป็นบันทึกประจำวันสำหรับตัวเอง
เหตุผลหนึ่งที่อยากเขียนบล็อกขึ้นมาก็คือ ช่วงที่หยุดไปนี้ ผมก็ได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ สิ่ง ก็เลยอยากที่จะนำความรู้เหล่านี้มาแลกเปลี่ยนกัน เพื่อที่คนที่ต้องการความรู้แบบเดียวกันจะได้ไม่เสียเวลาในการค้นคว้าหรือทดลอง อีกทั้งประสบการณ์ในการทำงานเก่า ๆ ก็จะได้นำมาเผยแพร่ต่อกัน ไม่ต้องฝังลงหลุมไปพร้อมกับตัวเอง
ก็ขอแนะนำตัวเองซักนิดนึง สำหรับชื่อ PlaMC นี้ อ่านว่า "ปลาหมึก" นะครับ แล้วทำไมต้องเป็นปลาหมึกล่ะ? หมึกนี่เป็นชื่อหนึ่งที่ผมใช้ในการสนทนากับเพื่อน ๆ สมัยที่เล่น Pirch ในห้องรักทะเล และผมคิดว่าเป็นชื่อที่มีความเป็นสากลในระดับหนึ่ง ยังไงนะหรือ ถ้าเพื่อนลองสังเกตการสะกดคำดู จะเห็นได้ว่า MC นอกจากอ่านว่าหมึกแล้ว ยังสามารถอ่านว่าแม็คได้อีกด้วย นั่นคือสำหรับเพื่อนชาวต่างชาติ ผมก็จะมีชื่อว่าแม็คยังไงละครับ
พื้นเพผม หลาย ๆ ปีที่ผ่านมาก็ทำงานด้านการตลาดมาโดยตลอด ยกเว้นในช่วง 2 ปีสุดท้ายที่ย้ายมาทำงานด้าน ลอจิสติกส์ และตอนนี้ก็มาดูแลร้านอินเตอร์เน็ต ก็ผ่านมาทั้งบริษัทเล็ก ๆ จนถึงบริษัทใหญ่ ๆ ที่เป็นที่รู้จักกัน ก็ได้รับประสบการณ์การทำงานที่หลากหลายดี ได้รู้จักกับผู้คนหลากหลาย ได้รู้จักเพื่อนดี ๆ หลายคน ไว้จะทยอยเอามาแนะนำให้รู้จักกัน
สำหรับบล็อกนี้ ผมจะพยายามเข้ามาอัพเดทให้บ่อยที่สุด เพื่อน ๆ ก็เข้ามาติดตามอ่านได้นะครับ