วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

MAC

เคยใช้เครื่องแมคกันมั้ยครับ วันก่อนผมไปสอนเอ็กเซลให้ฝรั่งคนนึง ฝรั่งจริง ๆ นะครับ เพราะเค้าเป็นชาวฝรั่งเศส

สอนเป็นภาษาอังกฤษครับ แต่เครื่องคอมที่ใช้เรียนคือเครื่องแมคบุ๊ค โอเอสก็เป็นแมคโอเอสภาษาฝรั่งเศส

เอ็กเซลก็เช่นเดียวกัน เมนูต่าง ๆ ก็เป็นภาษาฝรั่งเศส ยิ่งกว่านั้นครับ สูตรต่าง ๆ ก็เป็นภาษาฝรั่งเศสด้วย เช่น สูตร sumif = somme.si

สุดยอดครับ สอนไปก็คอยเดาเมนูละครับว่าอยู่ตรงไหน ส่วนใหญ่ตำแหน่งจะตรงกัน ก็ให้เค้าแปลให้ฟัง

ซึ่งเอ็กเซลเวอร์ชั่นแมคกับวินโดว์ก็ใกล้เคียงกันครับ แต่มีบางฟังก์ชั่นที่แมคไม่มี เช่น text to column, pivot chart

ฟังก์ชั่น F4 ที่เอาไว้สลับการอ้างอิงเซลล์ในวินโดว์ ในแมคต้องกดแป้น Command+T แทน

ยิ่งไปกว่านั้น คีย์บอร์ดของแม็คบุ๊คที่เค้าใช้ ยังไม่ใช่แบบฟูลด้วย เลย์เอาต์ก็ไม่ใช่แบบ qwerty ด้วย เป็นเลเอาต์ของคีย์บอร์ดภาษาฝรั่งเศส


แป้น delete ก็ไม่มี มีเฉพาะแป้นตัวอักษรและสัญลักษณ์บางตัวเท่านั้น

คลิกขวาก็ต้องกด ปุ่ม ctrl แล้วคลิก เพราะแมคมีเมาส์ปุ่มเดียว

ได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ เยอะครับ จากการใช้งานแมคครั้งแรกของผม

แต่ก็จบลงด้วยดีครับ ไม่มีปัญหาในการเรียนการสอนแต่อย่างใด

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ติดตั้ง wine

wine เป็นโปรแกรมที่ทำให้เราสามารถติดตั้งโปรแกรมต่าง ๆ ที่ใช้งานในวินโดว์ส ให้สามารถใช้งานใน ubuntu ได้
ซึ่งจริง ๆ แล้วขณะนี้ ผมยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้โปรแกรมใด ๆ หรอก เพราะโปรแกรมใน ubuntu เองที่มีมาให้
ก็ครอบคลุมการใช้งานของผมเกือบหมดแล้ว

การติดตั้ง
1. ให้เราเข้าไปที่ system > administration > synaptic package manager
2. พิมพ์ wine ในช่อง search โปรแกรมจะกรองรายชื่อโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับ wine ขึ้นมาให้
3. คลิกขวาที่โปรแกรม wine เลือก mark to install ระบบจะแสดงรายการโปรแกรมอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องติดตั้งด้วย ก็ให้คลิก ok ยอมรับไป
4. คลิกปุ่ม apply เพื่อทำการติดตั้ง ระบบก็จะดาวน์โหลดโปรแกรมมาติดตั้งให้

เรียบร้อยครับ ง่ายมาก ๆ การติดตั้งโปรแกรมใน ubuntu

ติดตั้ง opera

ใน ubuntu 9.10 จะมีโปรแกรม firefox 3.51 ติดตั้งมาพร้อมกัน ซึ่งทำระบบภาษาไทยได้ดีมาก
ภาษาไทยจัดระดับสวยงาม ไม่มีสระลอย แต่ผมไม่ถนัดใช้งานมากนัก เพราะผมใช้ opera มาโดยตลอด

ผมจึงต้องหา opera มาติดตั้ง ซึ่งก็ง่ายมากครับ เพียงเข้าไปที่เว็บ opera.com ทางเว็บก็จะตรวจสอบ
พบว่าเราใช้ linux อยู่ ก็ขึ้นหน้าให้เราดาวน์โหลดเวอร์ชั่น linux ได้เลย

เพียงแต่ให้เราเลือกตัวเลือกว่า linux ของเราเป็น ubuntu 9.10 ครับ และที่ขั้นตอนการดาวน์โหลด
อาจจะเลือกให้บันทึกลงเครื่องหรือเปิดโปรแกรมติดตั้งเลยก็ได้ ซึ่งผมก็เลือกเป็นการเปิดไฟล์ใช้งานเลย

เมื่อดาวน์โหลดเสร็จ โปรแกรมติดตั้งก็จะเปิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เราก็สามารถยืนยันการติดตั้งได้เลย
โดยระบบจะมีการถามรหัสผ่านเพื่อยืนยันการติดตั้ง เราก็พิมพ์รหัสผ่านของเราลงไปได้เลย

เพียงแต่ภาษาไทยใน opera สระจะลอยเท่านั้น ซึ่งผมก็ไม่ได้กังวล เพราะเราอ่านเนื้อหาเท่านั้น

การปรับให้ปุ่ม grave accent เป็นปุ่มสลับภาษา

คิดว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่ใช้ปุ่ม grave accent ในการสลับภาษาแป้นพิมพ์
มาตรฐานโดยทั่วไปก็คือ ปุ่ม left alt + shift

ผมเป็นคนหนึ่งที่ถนัดการใช้งานปุ่ม grave accent เพราะผมเริ่มใช้งานคอมพิวเตอร์สมัย dos
ซึ่งสมัยนั้น เราคนไทยเป็นผู้พัฒนาภาษาไทยในคอมพิวเตอร์ใช้เอง และผู้พัฒนาตอนนั้นก็ได้กำหนดให้
ปุ่ม grave accent เป็นปุ่มสลับภาษา เพราะตัวอักษรในปุ่มดังกล่าวในภาษาไทยไม่มีการใช้งาน

ก็มีการใช้งานปุ่มนี้เรื่อยมา จนวินโดว์สพัฒนารุ่นที่เป็นภาษาไทย ซึ่งตอนนั้นคนไทยก็ถนัดการใช้งานปุ่ม
grave accent กันแล้ว วินโดว์สไทยจึงมีตัวเลือกให้เลือกใช้งานปุ่ม grave accent

หลัก ๆ ผมไม่อธิบายข้อมูลทางเทคนิคนะครับว่าที่มาที่ไปของการที่จะใช้ปุ่ม grave accent ได้ต้องไปแก้ระบบส่วนไหน
แต่จะบอกวิธีทำเลย

1. ดาวน์โหลดไฟล์ http://ftp.opentle.org/pub/tlelive/OEM/ubuntu810_grave_thai_switch.tar.gz เก็บไว้ใน
โฟลเดอร์ Downloads
2. เปิดโปรแกรม Terminal (อยู่ใน Accessories > Terminal) โดยเมื่อเปิดขึ้นมาแล้ว พิมพ์คำสั่ง dir เพื่อ
เรียกดูว่ามีไฟล์หรือโฟลเดอร์อะไรบ้างในโฟลเดอร์ Home ของเรา
3. เข้าไปในโฟลเดอร์ Downloads ที่เก็บไฟล์ที่ดาวน์โหลดมา โดยพิมพ์คำสั่ง cd Downloads (ตัว D ต้องเป็นตัวพิมพ์ใหญ่) แล้วลองพิมพ์คำสั่ง dir เรียกดูไฟล์และโฟลเดอร์อีกครั้ง
4. ทำการแตกไฟล์ด้วยคำสั่ง sudo tar xvfz ubuntu810_grave_thai_switch.tar.gz -C / หากโปรแกรมถามรหัสผ่านก็ให้พิมพ์รหัสผ่านของท่านลงไปแล้วกดแป้น enter และไม่ต้องตกใจนะครับหากพิมพ์แล้วไม่เห็นตัวอักษรใด ๆ ปรากฎขึ้นมาเพราะเป็นระบบรักษาความปลอดภัยของ linux
5. จากนั้นเข้าไปกำหนดให้ปุ่ม grave accent ใช้งานได้ที่ system > preferences > keyboard โดยเลือกแท็บ layouts
และคลิกปุ่ม layout options
6. ที่กลุ่มตัวเลือก layout switching ให้ติ๊กเลือก grave changes group และสามารถปิดหน้าต่างได้เลยครับ
โดยปกติหากมีการสลับภาษาแป้นพิมพ์ ไฟ scroll lock จะติด หากไม่ต้องการก็เข้าไปที่เดิมแต่เลือกกลุ่ม
use keyboard LED to show alternative layout และเอาตัวเลือกหน้าหัวข้อ scrollock LED shows alternative layout

แค่นี้ครับ เราก็สามารถใช้ปุ่ม grave accent สลับภาษาได้แล้ว

กลับมาอัพเดทบล็อกอีกครั้ง

ที่ผมหยุดเขียนไป เพราะอกหักครับ เสียใจมาก เป็นทุกข์มาก ๆ

คนไทยโชคดีที่มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่โชคดี เมื่อมีความทุกข์ ศาสนาก็เป็นที่พึ่งได้เป็นอย่างดียิ่ง ในช่วงสามเดือนนี้ผมจึงเริ่มศึกษาธรรมะ ทั้งจากการอ่านหนังสือ ฟังเทศน์ ฟังนิยาย นั่งวิปัสสนากรรมฐาน

ซึ่งก็ช่วยให้บรรเทาเรื่องทุกข์ที่มีได้ และทำให้เป็นคนมีศีลมากขึ้น

เมื่อมีศีลแล้ว ย่อมหลีกเลี่ยงการผิดศีล ศีล 5 ข้อนึง คือการไม่เอาของผู้อื่นมาใช้ โดยเจ้าของไม่ยินยอม นั่นก็คือ การไม่ใช้งานโปรแกรมที่ไม่ได้แจกจ่ายฟรี มาใช้งาน

แผ่นหนังที่ผมก๊อปมา 2-300 แผ่น ผมทิ้งหมดเลยครับ และอีกอย่างก็คือ เครื่องส่วนตัวของผมที่ลงโอเอส วินโดว์เอ็กซ์พี และอีกหลากหลายโปรแกรมที่ไม่ฟรี ผมก็เปลี่ยนมาใช้ลินุกซ์ Ubuntu 9.10 แทนแล้ว ส่วนเครื่องที่ร้านเน็ตทั้งหมดของผมนั้น ผมซื้อลิขสิทธิ์มาใช้งานนานแล้ว

ซึ่งเพื่อน ๆ สามารถไปดาวน์โหลดอิมเมจไฟล์มาเขียนเป็นแผ่นซีดีและนำมาติดตั้งลงเครื่องได้ฟรีจากเว็บไซต์ของ Ubuntu.com

แนะนำให้ติดตั้งแบบใช้พื้นที่เต็มฮาร์ดดิสก์นะครับ สเปคที่ต้องมีก็ต้องมีแรมสัก 512 เมก และฮาร์ดดิสก์สัก 20 กิ๊ก และอินเตอร์เน็ตเร็ว ๆ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ส่วนอุปกรณ์อื่น ๆ ก็ตามสะดวกครับ

ในขั้นตอนการติดตั้ง ไม่ยากครับ มีไม่กี่ขั้นตอน เช่น ให้ตั้งชื่อเครื่อง ตั้งชื่อผู้ใช้งานและรหัสผ่าน กำหนดภาษาเมนู กำหนดที่อยู่(ที่อยู่ให้กำหนดเป็นประเทศไทยนะครับ เพราะเวลาอัพเดท โปรแกรมจะได้เรียกข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ในประเทศไทย ทำให้อัพเดทโปรแกรมได้เร็วขึ้น)

ลองนำมาใช้งานดูครับ แล้วผมจะมาอัพเดทวิธีการติดตั้งโปรแกรมต่าง ๆ เพิ่มเติมให้
ที่ทำแล้วตอนนี้ก็คือ
1. ทำให้ปุ่ม grave accent ใช้เปลี่ยนภาษาได้
2. ติดตั้ง opera
3. ติดตั้ง wine
4. ใช้ empathy แชท
5. ใช้ evolution mail รับเมล์
6. ติดตั้ง printer
7. เปิดไฟล์ wma

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หยุดเขียนชั่วคราวนะครับ

ขณะนี้จิดใจผมไม่อยู่ในสถานะที่จะเขียนอะไรต่อได้ เพราะฉะนั้นผมจะหยุดเขียน และจะไม่ได้เข้ามาดูความคิดเห็นของเพื่อน ๆ เป็นการชั่วคราว
หากกลับมาเมื่อไหร่ คงได้แชร์ความรู้ ความคิดเห็นกันใหม่ครับ

บาย

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตำราพิชัยสงครามไทย

ตำราพิไชยสงครามของไทย เขียนโดยการผูกโยงเป็นคำกลอน มีทั้งสิ้น ๒๑ กลยุทธ์

ฤทธี สีหจักร ลักษณ์ซ่อนเงื่อน
เถื่อนกำบัง พังภูผา ม้ากินสวน
พวนเรือโยง โพงน้ำบ่อ ล่อช้างป่า
ฟ้างำดิน อินทร์พิมาน ผลาญศัตรู
ชูพิษแสลง แข็งให้อ่อน ยอนภูเขา
เย้าให้ผอม จอมปราสาท ราชปัญญา
ฟ้าสนั่นเสียง เรียงหลักยืน ปืนพระราม


กลยุทธ์ ๑ : กลฤทธี
กลอันหนึ่ง..........................ชื่อว่าฤทธีนั้น
ชั้นทะนงองอาจ....................ผกผาดกล่าวเริงแรง
สำแดงแก่ข้าแกล้วหาญ..........ชวนทำการสอนศาสตร์
อาจเอาบ้านเอาเมือง..............ชำนาญเนืองณรงค์
ยงใจผู้ใจคน.......................อาสาเจ้าตนทุกค่ำเช้า
จงหมั่นเฝ้าอย่าครา...............พักตราชื่นเทียมจันทร์
ทำโดยธรรมจงภักดิ์..............บันเทิงศักดิ์จงสูง
จูงพระยศยิ่งหล้า.................กลอันศึกนี้ว่า กลชื่อฤทธี


กลยุทธ์นี้สรุปความว่า ให้ฝึกซ้อมให้เชี่ยวชาญการศึก ให้พร้อมที่จะรบได้ตลอด เมื่อมีโอกาสจะได้อาสาเจ้านายทำศึก การจะชนะศึกได้ต้องเตรียมพร้อมให้ดี ฝึกฝนฝีมือสม่ำเสมอไม่ประมาท มีวินัย นับเป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่ ทุกกองทัพต้องมี ถ้าทัพใดหย่อนยานการฝึกและขาดวินัย ก็เตรียมใจพ่ายแพ้ได้เลย และการที่กองทัพจะแสดง “ฤทธิ์” ได้นั้นต้องมีแม่ทัพที่ดี ที่เอาใจใส่ร่วมเป็นร่วมตายกับลูกน้อง เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจึงจะสามารถฝ่าฟัน พิฆาตไพรีเอาชนะศึกได้

กลยุทธ์ ๒ : กลสีหจักร
“กลหนึ่งชื่อว่าสีหจักร..........ให้บริรักษ์พวกพล
ดูกำลังตนกำลังท่าน..........คิดคะเนการแม่นหมาย
ยักย้ายพลเดียรดาษ..........พาสไครคลี่กรรกง
ตั้งพลลงแปดทิศ..............สถิตช้างม้าอย่าไหว
ตั้งพระพลาชัยจงสรรพ.......จงตั้งทัพโดยศาสตร์
ฝังนพบาทตรีโกน.............ให้ฟังโหรอันแม่น
แกว่นรู้หลักมิคลาด............ให้ผู้อาจทะลวงฟัน
ให้ศึกผันแพ้พ่าย..............ย้ายพลใหญ่ให้ไหว
ไสพลศึกให้หนี................กลศึกอันนี้ชื่อว่า สีหจักร”


กลยุทธ์นี้สรุปใจความอยู่ที่ “ดูกำลังตนกำลังท่าน” ซึ่งก็คือ “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครา” ในพิชัยสงครามซุนวูนั่นเอง การรู้เขารู้เราเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าเราไม่รู้ว่าจุดด้อยของเราคืออะไร เราก็จะป้องกันไม่ถูก และถ้าเราไม่รู้จุดบอดของข้าศึก ดุ่มๆโจมตีไปความเสียหายย่อมมีมาก ดีไม่ดีสูญเสียทั้งกองทัพ ประดุจเดินผิดตาเดียวแพ้ทั้งกระดาน ดังนั้นข้อมูลข่าวสารจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการวางแผนทำศึก

กลยุทธ์ ๓ : กลลักษณ์ซ่อนเงื่อน
“กลหนึ่งลักษณ์ซ่อนเงื่อน.........เตือนกำหนดกฎหมายตรา
แยกปีกกาอยู่สรรพ.........................นับทหารผู้แกล้ว
กำหนดแล้วจงคง............................แต่งให้ยงยั่วเย้า
ลากศึกเข้าในกล............................แต่งคนแต่งช้างม้า
เรียงหน้าหลังโจเจ..........................รบโยเยแล้วหนี
ศึกติดตีตามติด.............................สมความคิดพาดฆ้องชัย
ยกพลในสองข้าง...........................ยกช้างม้ากระทบ
ยอหลังรบสองข้าง..........................จึ่งบ่ายช้างอันหนี
คระวีอาวุธโห่ร้อง............................สำทับก้องสำคัญ
ยืนยันรบทั้งสี่................................คลี่พลออกโดยสั่ง
ศัตรูตั้งพังฉิบหาย...........................อุบายศึกอันนี้
ชื่อว่าลักษณ์ซ่อนเงื่อน”


กลยุทธ์นี้มีให้เห็นทุกนิยายพงศาวดาร และทุกตำราพิชัยสงคราม นักการทหารทุกคนทราบดี แต่ก็มักจะได้ผลเสมอๆ ปราชญ์โบราณท่านแต่งร่ายได้เห็นภาพเลย คือแต่งทัพหลอกล่อให้ข้าศึกหลงกลตามตีแล้วทำเป็นพ่ายให้ข้าศึกได้ใจตามตีต่อ เข้าสู่ killing field ที่มีทัพหนุนของเราซุ่มคอยโอบล้อมโจมตีอยู่ ที่ไหนกองทัพข้าศึกจะไม่พลาดพลั้งเสียทีแก่เรา

กลยุทธ์ ๔ : กลเถื่อนกำบัง
“กลหนึ่งชื่อว่าเถื่อนกำบัง........รั้งรบพลตนน้อย
ชัดคนคล้องแฝงป่า.......................แต่งพลหล้าแล่นวง
ทั้งกงนอกกงใน..........................ไว้ช้างม้าให้แฝง
แทงให้ร้องทรหึง..........................มี่อึงฆ้องกลองชัย
ไว้ให้เสียงสำทับ..........................ปืนไฟกับธนู
หน้าไม้กรูกันมา...........................ดาบทะลวงฟันดาหลัง
ประนังช้างม้าเรี่ยชายไพร...............ลูกหาบในป่าโห่
เกราะเสโลนี่นั่น..........................ให้ศึกงันรึถอย
ครั้นศึกคล้อยเห็นผู้ห้าว.................กลเสือคราวครึมป่า
แล้วออกหล้าแล่นฉาว...................ทำสามหาวซ่อนเล็บ
เก็บแต่เตียนกินรก.......................ลอบฉวยฉกเอาจงเนือง
ให้ศึกเคืองใจหมอง......................คลองยุบลดังนี้
ชื่อว่าเถื่อนกำบัง”


กลเถื่อนกำบังคือ ฝ่ายเราคนน้อยกว่าแต่ทำเป็นมีกำลังมากกว่า หลอกให้ศัตรูไม่กล้าโจมตี เพราะเกรงว่าจะมีกำลังซ่อนอยู่ อุบายเมืองเปล่าที่ขงเบ้งขู่สุมาอี้นับเป็นตัวอย่างอันดี

กลยุทธ์ ๕ : กลพังภูผา
“กลนี้ชื่อพังภูผา.......แม้ศึกมาปะทะ
อย่าเพ่อระเริงแรง..............สำแดงดุจเห็นน้อย
ชักคล้อยแฝงป่าเข้า............ศึกเห็นเราดูถูก
ผูกช้างม้าออกไล่..............ยอพลใหญ่กระทบ
ผิรบเข้าบ่ไหว...................ให้ช้างม้าโรมรุม
กลุ้มกันหักอย่าคลา............อย่าช้าเร่งรุมตี
ศึกแล่นหนีตามต่อย...........ให้ยับย่อยพรายพรัด
ตัดเอาหัวโห่เล่น.................เต้นเริงรำสำแดงหาร
ให้ศึกคร้านคร้ามกลัว...........ระรัวระเสริดสัง
กลศึกอันนี้ชื่อว่าพังภูผา”


กลยุทธ์นี้จะตรงกันข้ามกับกลเถื่อนกำบัง คือฝ่ายเรามีมากกว่าแต่กลับหลอกให้ข้าศึกตายใจว่า เรามีทัพน้อยอ่อนด้อย หลอกให้ข้าศึกตั้งตนประมาทเข้าตี แล้วในที่สุดก็เสร็จเรา

กลยุทธ์ ๖ : กลม้ากินสวน
“กลหนึ่งชื่อว่าม้ากินสวน.....ให้หาผู้ควรหาญห้าว
ลาดเอาเหย้าเอาเรือน.................บ้านถิ่นเถื่อนอยู่ใกล้
จับกุมได้เอามา.........................นานาเลศเทศกาล
ปันพนักงานจงขาด....................ปรนไปลาดเนืองๆ
ให้ศึกเคืองใจแค้น....................แม้นจะอยู่ก็บ่มีสุข
บุกขับกับทุกเดือน....................เตือนใจตื่นไปมา
กลขับปลาให้ห้อม....................ด้อมดักสักสุ่มเอา
ให้ศึกเหงาใจถอย....................ค่อยเก็บนอกเข้ามา
ให้ระอาใจอ่อน.......................ผ่อนผู้คนให้หนี
กลอนกล่าวกลศึกนี้.................ชื่อว่าม้ากินสวน”


พฤติกรรมม้ากินสวนคือ ค่อยๆตอดเล็มกินทีละนิดทีละนิดค่อยเป็นค่อยไป แต่สุดท้ายก็กินจนหมดสวน คือการตีรุกคืบทีละนิดค่อยๆกลืนกินดินแดนทีละส่วนทีละน้อย เป็นกลยุทธ์ที่ใช้มากในสงครามโลกครั้งที่1 คือสงครามสนามเพาะ คือค่อยๆยึดพื้นที่ทีละน้อย แล้วขุดสนามเพาะไว้ให้ทหารประจำการ ทหารที่อยู่ในหลุมเพาะสามารถโจมตีข้าศึกที่เคลื่อนที่เข้ามาได้ แต่ตัวอยู่ในหลุมสามารถป้องกันการโจมตีจากอีกฝ่ายได้ สงครามนี้กินเวลายาวนานเพราะทั้งสองฝ่ายต่างทำสนามเพาะเฝ้าระวังซึ่งกันและกัน กว่าจะกินพื้นที่ได้สักกิโลเมตรหนึ่งใช้อาจเวลานานเป็นสัปดาห์ สงครามลักษณะนี้สิ้นสุดด้วยการประดิษฐ์รถถังเข้าโจมตี เพราะรถถังสามารถป้องกันกระสุนที่เหล่าทหารในหลุมเพาะโจมตีได้ และยังเคลื่อนที่ผ่านพื้นที่เป็นหลุมบ่อ ของสนามเพาะไปโจมตีข้าศึกได้

กลยุทธ์ ๗ : กลพวนเรือโยง
“กลศึกอันหนึ่ง...........ชื่อว่าพวนเรือโยง
ประดุจพะองปีนตาล..............ทำจงหวานแช่มชิด
ผูกเป็นมิตรไมตรี.................สิ่งใดดียกให้
ละไล่ต่ออย่าเสีย.................แต่งลูกเมียให้สนิท
ติดต่อตั้งยังกล....................ยุบลช้างเถื่อนตามโขลง
โยงเบ็ดราวคร่าวเหยื่อย่าม......ค่อยลากก้ามเอามา
ด้วยปัญญาพิสดาร...............กลการศึกอันนี้
ชื่อว่าพวนเรือโยง”


เมื่อข้าศึกมีฝีมือเก่งกล้าเอาชนะไม่ได้ง่าย อย่ากระนั้นเลยเอามันเป็นพวกเลยดีกว่า ไม่ต้องรบให้เหนื่อยแถมได้กำลังอันเก่งกล้านั้นเป็นพวกอีกต่างหาก ทำได้โดยการ ให้ทรัพย์สมบัติดีมีราคา ใ ห้สาวงาม ยกลูกสาวให้จะได้เป็นญาติกันเสีย ฝ่ายนั้นก็ไม่กล้ามาโจมตีเรา เพราะเรามีศักดิ์เป็นพ่อตาเสียแล้ว ในพงศาวดารไทย และจีนมีตัวอย่างกลยุทธ์เช่นนี้มาก

กลยุทธ์ ๘ : กลโพงน้ำบ่อ
“กลหนึ่งชื่อว่าโพงน้ำบ่อ.......คิดติดต่อข้าศึก
ฝ่ายเขานึกดูแคลน....................ใครรุกแดนรุกด้าว
เลียบเลียมกล่าวข่มเหง...............ชรเลงดูหมิ่นเรา
โอนอ่อนเอาอย่างขวาง...............ข้างเราทำดุจน้อย
ค่อยเจรจาพาที........................ลับคดีชอบไว้
อ่อนคือใครตามใจ....................น้ำไหลลู่หลั่งหลาม
พูดงามก้านกิ่งใบ.....................อัธยาศัยถ่อมถด
อดคำกล่าวท่าวเอา....................ครั้นว่าเขาดูหมิ่น
ผินฟังคนดูแคลน.....................แดนพังพลดูถูก
ประดุจลูกหลานตน....................ครั้นสบสกลไซร้
จึงยกได้เขาคืน.......................เราลุกยืนผูกเอา
ได้เขาทำสง่าเงย......................เตยหน้าตาโอ่โถง
ดุจหนึ่งโพงใต้น้ำ......................คำคดีติดต่อ
ชื่อว่าโพงน้ำบ่อ”


กริยาโพงน้ำคือ ต้องน้อมตัวลงวิดน้ำ จึงจะได้น้ำมา เมื่อฝ่ายข้าศึกมีกำลังเก่งกล้า ต้องโอนอ่อนผ่อนตามเขาไปก่อน รอให้เขาประมาทเลิกระแวงคลายใจ เราจึงค่อยหาจังหวะลงมือ

กลยุทธ์ ๙ : กลล่อช้างป่า
“กลศึกอันหนึ่งชื่อว่าล่อช้างป่า.......ผี้ศึกมาคะคึก
ศึกครั้นหนีครั้นไล่...............................บ่ค่อยไต่ค่อยตาม
ลามปามแล่นไล่มา.............................ให้แทงหาขุมขวาก
พากที่เหวที่ตม..................................แต่งให้ล้มหลุมขุม
ซุ่มซ่อนตนสองปราด..........................แต่งให้ลาดเบื้องหน้า
คอยอยู่ท่าที่ดี..................................ถ้าไพรีเห็นได้
ศึกเห็นใคร่ใจคด...............................ค่อยถอยถดฝ่ายเรา
ฝ่ายเขาขามบ่ไล่...............................ฝ่ายเราไปล่รี้พล
ไว้เป็นกลหลายฐาน...........................ปันการตามน่าหลัง
ระวังยอหลายแห่ง.............................สบที่แต่งเนืองเนือง
พลเขาเปลืองด้วยกล..........................ยุบลล่อช้างเถื่อน
แล้วแต่งเตือนหน้าหลัง........................ทั้งไปน่าก็บ่ได้
ถอยหลังไปก็บ่รอด............................ทอดตนตายกลางช่อง
คลองยุบลดังนี้.................................ชื่อว่าล่อช้างป่า”


เคล็ดลับของกลยุทธ์นี้อยู่ที่ หลอกล่อให้ข้าศึกหลงกลมาติดกับเรา วางหลุมพรางล่อหลอกเป็นระยะๆ จนสุดท้ายทัพข้าศึกก็ถูกทำลายย่อยยับปราชัยไป การหลอกล่อจะใช้อะไร ก็ขึ้นอยู่กับแม่ทัพของฝ่ายศัตรู ถ้าโลภก็ทิ้งของมีค่า ทิ้งสเบียงให้ตามไปเก็บ ถ้าแม่ทัพมีปัญญา ต้องลวงล่อด้วยกลศึก ให้หลงเข้าใจผิด

กลยุทธ์ ๑๐ : กลฟ้างำดิน
“กลศึกอันหนึ่ง...................ชื่อว่าฟ้างำดิน
หมั่นสำเหนียกพลพฤนทรามาตย์.....ให้ใจอาจใจหาญ
ชำนาญช้างม้ากล้าณรงค์ ...............มั่นให้คงชี้ฉับเฉียว
เหลีอบเหลียวหน้าซ้ายขวา..............ไปมาผับฉับไว
ใช้สวยยอดยวดยง.......................จงชำนาญแล่นแอ่นไว
ปืนไฟหน้าไม้พิษ.........................สนิทธนูดาบดั้งแพน
แสนเสโลหโตมร.........................กรไว้พุ่งเชี่ยวชาญ
ชำนาญศิลป์ทั้งปวง.......................ถลวงฟันรันรุม
ชุมพลสิบพลร้อย.........................อย่าให้คล้อยคลายกัน
ทั่วพลพันพลหมื่น........................หื่นพลแสนพลล้าน
จรเดียวดาลเด็ดมา.......................แปรงาช้างบ่ายตาม
ฟังความตามบังคับ.......................กับเสบียงเรียงถุง
ประดุงไพร่พลช้างม้า.....................กลศึกอันนี้ว่า ชื่อฟ้างำดิน”


กลยุทธ์นี้ เน้นที่การเคลื่อนทัพให้พร้อมเพรียง แม่ทัพสามารถบังคับบัญชากองทัพประดุจบังคับนิ้วในมือ แม้จะมีกองทัพใหญ่ก็เหมือนบังคับบัญชาทหารหน่วยย่อย
การที่จะสามารถบังคับบัญชา ทหารนับหมื่นนับแสนให้ พร้อมเพรียงกัน ทำงานประสานกันได้อย่างกลมกลืนนั้นทำได้ยาก ทุกหน่วยต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มิฉะนั้นแม้มีกำลังนับล้านก็มิอาจแสดงกำลังได้ สุดท้ายต้องพ่ายแพ้ภัยไปเอง

กลยุทธ์ ๑๑ : กลอินทร์พิมาน
“กลหนึ่งชื่อว่าอินทพิมาน.....ให้อาจารยผู้รู้
เทพยาคูฝังนพบาท....................แต่งสีหนารทข่มนาม
ตามโบราณผู้แม่น......................อันชาญแกวนเเหนประโยชน์
บรรเทาโทษโดยศาสตร์...............ยุรยาตรโดยอรรถ
ให้ประหยัดซึ่งโทษ....................อย่าขึ้งโกรธอหังการ์
มนตราคมสิทธิ์ศักดิ์....................พำนักในโบราณ
บูรพาจารย์พิไชย......................โอบเอาใจพลหมู่
ให้ดูสกุณนิมิต..........................พิศโดยญาณประเทศ
ภิเษกราชภักดี.........................ศรีสุริยศักดิ์มหิมา
แก่ผู้อาสานรนารถ....................เทพาสาธุการ
โดยดำนานดั่งนี้.......................ชื่อว่าอินทพิมาน”


กลยุทธ์นี้เน้นที่ การสร้างขวัญกำลังใจให้ฝ่ายเรา สมัยก่อน มี การใช้จิตวิทยาเพื่อปลุกระดมให้หึกเหิม ไม่กลัวศึก การปลุกเสกของวิเศษ คาถาอาคม มนตรายังเป็นสิ่งที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน กองทัพที่มีขวัญกำลังใจดี ย่อมเอาชนะศึกได้ไม่ยาก ของไทยเราที่เห็นเด่นชัดมาแต่โบราณก็คือพิธีตัดไม้ข่มนาม คือทำพิธีตัดต้นไม้ที่มีนามพ้องกับศัตรู ยกตัวอย่างเช่นสมัยรัชกาลที่6 เมื่อทรงนำไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่1 ทรงกระทำพิธีตัดไม้ข่มนาม ฟันต้น “ฝรั่ง” ก่อนจะส่งทหารไปร่วมรบในยุโรป

กลยุทธ์ ๑๒ : กลผลาญศัตรู
“กลหนึ่งชื่อว่าผลาญศัตรู........ข้าศึกดูองอาจ
บ่พลาดราษฎรกระทำ....................นำพลพยัคฆะปะเมือง
พลนองเนืองแสนเต้า.....................แจกเล่าเข้าเชาเรา
เอาอาวุธจงมาก...........................ลากปืนพิษพาดไว้
ขึ้นหน้าไม้ธนู..............................กรูปืนไฟจุกช่อง
ส่องจงแม่นอย่าคลา......................ชักสารพาบรรทุก
อย่าอุกลุกคอยฟัง........................อย่าประนังตนเด็ด
เล็ดเล็งดูที่มั่น.............................กันที่พลจงคง
คนหนึ่งจงอย่าฉุก........................ปลุกใจคนให้หื่น
ให้ชื่นในสงคราม........................ฟังความสั่งสำคัญ
ฆ้องกลองพลันแตรสังข์................ประนังโรมรันรุม
เอาจุมพลดาศึก..........................พิพฤกคะเป็นนาย
ครั้นถูกกระจายพ่ายพัง.................พลเสริดสั่งฤาอยู่
บ่เป็นหมู่เป็นการ........................โดยสารโสลกดั่งนี้
ชื่อว่าพลาญศัตรู”


กลยุทธ์นี้คือการปลุกใจกองทัพให้หึกเหิมกล้าหาญ พร้อมจะตะลุยฟาดฟันอริราชศัตรู การที่ทัพจะหึกเหิมกล้าหาญไม่กลัวตายได้นั้น ต้องมีผู้นำทัพที่เป็น“ทหารเสือ” กล้าบุกตะลุยนำทัพจึงจะชนะศึกได้ ทัพแกะที่มีราชสีห์นำ อาจชนะทัพราชสีห์ที่แกะนำได้ฉันใด แม้จะมีกองทัพที่อ่อนแอ แต่ถ้ามีแม่ทัพที่เข้มแข็งก็อาจเอาชนะศึกได้ฉันนั้น

กลยุทธ์ ๑๓ : กลชูพิษแสลง
“กลหนึ่งว่าชูพิษแสลง.......ข้าศึกแรงเรืองฤทธิ์
คิดไฝ่ภัยเอาเรา......................เคยเขามากมาก
ภาคที่แคบที่คับ......................สลับรี้พลช้างม้า
เคยคลาปล้นรุกราม.................ผลาญล่อลวงบ้านเมือง
เนืองเนืองมาเพื่อนตน...............ให้ใส่กลปราศรัย
ฝากของไปฝากรักษ์.................ลักลอบให้เงินทอง
รังวันปองขุนใหญ่....................หัวเมืองไพร่ข้าศึก
ให้ตรึกจงลับแล้ง....................แข่งอุบายเล่ห์คิด
ไปมาสนิทเป็นกล....................ให้เขาฉงนสนเท่ห์
เพราะเป็นเล่ห์ภายใน.................บ่ไว้ใจแก่กัน
ผันใจออกกินแหนง...................แยงให้ผิดด้วยกัน
ชูพิษผันแปรพิษ......................ให้ผิดกันเองโจกเจก
บ่เป็นเอกใจเดียว......................บ่เป็นเกี่ยวเป็นการ
เพราะพิษพลาญศัตรู.................กลศึกอันนี้
ชื่อว่าชูพิษแสลง”


กลยุทธ์นี้คือการยุแยงให้พันธมิตร ไม่ไว้ใจกัน ไม่ให้รวมตัวกันติด แล้วเข้าทำลาย และเข้ายึดครอง เป็นกลยุทธ์หลักที่มหาอำนาจตะวันตกชอบใช้ ในสมัยล่าอาณานิคม ให้แต่ละเผ่าแต่ละฝ่ายในประเทศผิดใจกัน ไม่ไว้ใจกันจนเป็นปัญหาสืบมาจนถึงปัจจุบัน ดังเช่นปัญหาอินเดีย-ปากีสถาน, ตะวันออกกลาง, และคาบสมุทรเกาหลี เป็นต้น

กลยุทธ์ ๑๔ : กลแข็งให้อ่อน
“กลหนึ่งแข็งให้อ่อน.......ผ่อนเมื่อศัตรูยก
ให้ดูบกดูน้ำ..........................ซ้ำดูเข้ายาพิษ
พินิจพิษจงแหลก....................ตัดไม้แบกเบื่อเมา
เอาไปทอดในน้ำ....................ทัพซ้ำหนามขวาก
แต่งจงมากท่าทาง..................วางจางห้าวแหลมเล่ห์
บ่อดานทางเข่าที่ขัน................กันหลายแห่งที่คับ
แต่งสนับไว้จ่อไฟ..................ไล่เผาคลอกป่าแขม
แนมหวากแนมห่วงน้ำข้าม........ตามเผาป่าแทบทัพ
ยับไม้เผาเป็นถ่าน..................หว่านไฟไว้รายเรียง
รอเผาเสบียงจงสิ้น.................อย่าให้กินเป็นอาหาร
แต่งคนชาญหลอกทัพ............ให้เสียหับเสียหาย
ทำลายคาบเนืองเนือง.............เปลืองเสบียงเปล่าเฉาแรง
กลเชื้อแข็งให้อ่อน”


กลยุทธ์นี้คือการทำให้ศัตรูอ่อนแรง โดยการล่อหลอกวางเล่ห์กล ทำขวากหนาม เผาทำลายค่ายเสบียง ให้ข้าศึกอ่อนแรง จนไม่มีศักยภาพพอในการทำศึกสงครามกับเรา

กลยุทธ์ ๑๕ : กลยอนภูเขา
“กลหนึ่งยอนภูเขา..........ข้าศึกเนาประชิ
ให้ริดูช่องชอบ........................ที่จะขอบจะขัง
แต่งระวังยักย้าย.....................ฝ่ายพลเขาเอาเสบียง
เรียงงานในเมืองเรา.................เอาใจไพร่ใจพล
คนอยู่ประจำการ.....................พนักงานใครใครรบ
แต่งบรรจบพลแล่น.................ให้ทำแกว่นชวนกัน
แต่งถลวงฟันบุกทัพ.................คอยฟังศัพย์สำคัญ
หาที่ยันที่อ้าง.........................เอาม้าช้างเป็นดิน
ปีนคูหักค่ายเข้า......................รบรุกเร้ารุมแทง
อย่าคลายแคลงพรายพรัด.........ตัดให้ม้วยด้วยกัน
ให้สำคัญจงแม่น.....................แล่นช้างม้าวางขวาก
เขาตามยากเอาเรา..................เท่าทิศที่ตนหมาย
ฆ่าให้ตายกลากลาด................ต้องบาดเจ็บป่วยการ
ศัตรูดาลระทด.......................ขดด้วยเสียงปืนไฟ
ในเมืองเร่งโห่ร้อง...................ให้มี่ก้องนิรนาท
มีปี่พาทย์เสียงสรวญใน............ชมชื่นใจขับรำ
ซ้ำทะนงองอาจ......................ปืนไฟพาดประนัง
กลชื่อพังภูเขา”


ชื่อของกลยุทธ์นี้อาจทำให้สับสน เพราะขึ้นต้นด้วย “ ยอนภูเขา” แต่กลับจบด้วย “ พังภูเขา” อาจเป็นเพราะหาคำสัมผัสไม่ได้ ใจความสำคัญอยู่ที่ “ ฝ่ายพลเขาเอาเสบียง เรียงงานในเมืองเรา” คือรู้ว่าข้าศึกส่งสายสืบเข้ามาในทัพเรา เราแสร้งทำเป็นไม่รู้แต่ซ้อนกลใช้สายนั้นให้ ส่งข่าวที่ผิดๆ หลอกล่อฝ่ายข้าศึกเป็นการ “ยอน หรือ ย้อนรอย” ให้ข้าศึกสูญเสียในที่สุด นอกจากนี้ยังต้องคอยระวังรักษาป้องกัน อย่าให้ข้าศึกบุกรุกเข้ามาได้

กลยุทธ์ ๑๖ : กลเย้าให้ผอม
“กลหนึ่งเย้าให้ผอมนั้น..........บั้นเมื่อให้เธอลีลา
พาธาอธิราช ...............................ให้พินาศศัตรู
หมั่นตรวจดูกำลัง..........................ช้างม้าทั้งรี้พล
ปรนกันพลัดไปลาด.......................ผาดจู่เอาแต่ได้
หนังสือไว้หมายหมก......................ว่าจะยกพลหลวง
ลวงใส่กลเป็นเขต..........................ดูในเทศการ
ให้ป่วยงานทำนา........................... แสงตรวจตราพลแกล้ว
แล้วคลายพลเราเสีย.......................เยียกลเมฆมืดฝน
ฝนไป่ตกตรนกอางขนาง..................ให้แผ้วถางแสร้งทำ
คคึกคำแรงรณ...............................ครั้นหลงกลยกเล่า
ลากพลเข้าเนืองเนือง......................แยงให้เปลืองไปมา
ดุจกลกาลักไข่...............................จะไล่ก็ไล่มิทัน
วันคืนปีป่วยการ..............................ข้าศึกต้านยืนอยาก
ให้ข้าวยากหมากแพง.......................สิ่งเป็นแรงให้แรงถอย
ร่อยรอนไข้ใจหิว.............................ตีนมือปลิวพลัดพราย
ไพร่หนีนายนายเปลี่ยว.....................บ่เป็นเรี่ยวเป็นแรง
ใครใครแข็งมิได้.............................ใครใครไม่มีลาภ
ถ้ารูปงามเสาวภาพย์ก็จะเศร้า..............กลอุบายนี้เล่า
ชื่อว่าเย้าให้ผอม”


กลยุทธ์นี้คือการนำกำลังทหารหน่วยย่อยๆ เข้าตีรบกวนตามแนวชายแดน ให้ข้าศึกต้องเตรียมทัพเข้าสกัดไม่มีเวลาหยุดพักเพราะไม่รู้กำลังพลเรา ทำให้ขวัญและกำลังใจอ่อนด้อยลง ต้องเกณท์ทหารจัดทัพทั้งปีไม่มีเวลาทำไร่ไถนา เตรียมเสบียง เมื่อขวัญและกำลังข้าศึกอ่อนล้าเต็มที่แล้ว จึงค่อยเคลื่อนทัพใหญ่เข้าเผด็จศึก

กลยุทธ์ ๑๗ : กลจอมปราสาท
“กลหนึ่งชื่อจอมปราสาท..........องอาจมุ่งมาทดู
คูหอคอยเวียงวัง.............................ตั้งไชยภุมจงผับ
รู้ตั้งทัพพระพลาไชย.......................อย่าได้ไหวได้หวั่น
หมั่นดูฉบับธรรมเนียม......................เตรียมปูนปันเป็นกอง
น่าหลังสองตราบข้าง.......................รอบไว้ช้างม้ารถ
ห้วยธารคดโยธา.............................ให้รักษาจงรอบ
ทุกคันขอบนอกใน..........................อย่าได้ไหวปั่นป่วน
อย่าได้ด่วนคอยฟัง.........................คอยดูหลังดูน่า
จัดช้างม้ารี้พล................................ปรนกันกินกันนอน
อย่ายอหย่อนอุตส่าห์.......................ให้หมั่นว่าหมั่นตรวจตรา
ทังกะลากะแลงแกง.........................อย่าได้แฝงนายไพร่
ภัยรักษาจงมาก..............................อย่าให้ยากใจพล
อย่าทำกลดุจเสือ............................บกเรือจงชำนาญ
ชาญทั้งที่โดยกระบวน......................คิดควรรู้จงผับ
นับหน้าดูผู้อาสา..............................หาคนดีเป็นเพื่อน
อย่าเลื่อนถ้อยให้เสียคำ....................ทำอันใดโดยศาสตร์
ตามฉบับราชโบราณ.........................กระทำการให้รอมชอม
กลศึกอันนี้ชื่อว่าจอมปราสาท”


กลยุทธ์นี้ท่านให้รู้จักจัดทัพ วางค่ายกล ให้รู้ว่าภูมิประเทศแบบไหนควรตั้งทัพอย่างไร จึงจะได้ชัย นอกจากนี้ท่านสอนให้รู้จักดูลักษณะของผู้ที่จะเป็นแม่ทัพไปทำศึก ให้เลือกคนที่เหมาะสมกับหน้าที่นั้นๆ ถ้าเลือกแม่ทัพผิดก็เตรียมใจแพ้ได้เลย

กลยุทธ์ ๑๘ : กลราชปัญญา
“กลหนึ่งชื่อว่าราชปัญญา..........พร้อมเสนาทั้งสองข้าง
ช้างม้ารถเสมอกัน...........................หานักธรรม์ผู้ฉลาด
อาจใส่กลไปปลอม..........................ด้อมดูที่ดูทาง
วางต้นหนคนใช้..............................ไว้กังวลแก่เขา
เอาสินให้หฤหรรษ์...........................ให้คิดผันใจออก
ทั้งภายนอกภายใน..........................หวั่นไหวใจไปมา
แต่งโยธาหัดกัน..............................หลายหมู่พรรค์หลายกอง
จองนายหนึ่งไพร่สี่...........................ทวีนายหนึ่งไพร่หก
ยกนายหนึ่งไพร่เก้า..........................เคล้านายห้าจองพล
ซ้ายขวาพลหน้าหลัง.........................ทั้งอาวุธท่าทาง
ถอยพึงกางกันรบ.............................ทบท่าวอย่าหนีกัน
คอยยืนยันรบพลาง..........................ใส่ยาวางเรียเด็ก
นายไพร่เล็ดลอดตาม.......................ให้ฟังความสั่งสำคัญ
ฆ้องกลองพลันธงไชย......................กดให้ไล่ให้หนี
ลีลาลาดศึกเข้า...............................ในพลเคล้าเป็นกล
สองกองพลซ้ายขวา.........................ดูมรรคาชอบกล
เอาพลตั้งสองข้าง............................กองกลางง้างพลถอย
ศึกตามลอยแล่นไล่..........................ครั้นศึกไปล่ออกข้าง
คอยดูช้างดูม้า................................ ดูทวยค้ารี้พล
สบสกลโดยสำคัญ............................จึ่งกระทบกันเข้ารบ
สบสำเหนียกเสียกสา.........................อย่าให้คลาให้คลาด
ผาดเอาคงเอาวัน..............................หยิบเอาพลันจงได้
ไว้กำหนดนายกอง............................ช่างปองปูนจงสลับ
นับอ่านเร่งตรวจตรา...........................กลศึกอันนี้ชื่อว่า
กลราชปัญญา”


ถ้าทัพทั้งสองฝ่ายมีกำลังพอกัน มีแม่ทัพที่มีความสามารถพอกัน ท่านให้ใช้กลราชปัญญาเอาชัยกล่าวคือ การใช้สายลับจารชน ซึ่งสมัยก่อนนิยมใช้ผู้ทรงศีลสูงวัยเนื่องจากเป็นที่เคารพเกรงใจของเหล่าขุนพลฝ่ายตรงข้าม ให้เข้าไปยุแหย่ให้แตกแยก ไปให้สินบนต่างๆนานา และล้วงความลับต่างๆ

กลยุทธ์ ๑๙ : กลฟ้าสนั่นสียง
“กลชื่อฟ้าสนั่นเสียง..........เรียงพลพยุหกำหนด
กดประกาศถึงตาย.....................หมายให้รู้ถ้วนตน
ปรนปันงานณรงค์......................ยวดยงกล่าวองอาจ
ผาดกำหนดกดตรา....................ยามล่าอย่าลืมตน
ทำยุบลสีหนารท.......................ดุจฟ้าฟาดแสงสาย
สำแดงการรุกรัน.......................ปล้นปลอมเอาชิงช่อง
ลวงเอาบุรีราชเสมา....................ตรารางวัลเงินทอง
ปองผ้าผ่อนแพรพรรณ................ยศอนันต์ผายผูก
ไว้ชั่วลูกชั่วหลาน.......................การช้างม้าพลหาญ
ใช้ชำนาญการรบ.......................สบได้แก้จงรอดราษฏร์
ดุจฟ้าฟาดเผาผลาญ...................แต่งทหารรั้งรายเรียง
เสียงคะเครงคะคร้าน..................ทังพื้นป่าคะครัน
สนั่นฆ้องกลองไชย....................สรในสรรพแตรสังข์
กระดึงดังฉานฉ่า........................ง่อนงาช้างรายเรียง
เสียงบรรณพาคร้านครั่น...............กล่าวกลศึกนั้น
ชื่อฟ้าสนั่นเสียง”


กลยุทธ์ฟ้าสนั่นเสียงคือ การใช้กำลังทางทหาร บุกตะลุยรวดเร็วอย่างฉับพลัน ใช้ฆ้องกลองแตรสร้างเสียงข่มขวัญข้าศึก ทำให้ไม่มีกำลังใจที่จะต่อกรกับเรา ประดุจเราตกใจกลัวเสียงฟ้าร้อง

กลยุทธ์ ๒๐ : กลเรียงหลักยืน
“กลศึกชื่อเรียงหลักยืน..........ให้ชมชื่นรุกราน
ผลาญให้ครอบทั่วพัน....................ผันเอาใจให้ชื่น
หื่นสร้างไร่สร้างนา.......................หาปลาล่วงแดนต่าง
โพนเลื่อนช้างล่วงแดนเขา..............เอาเป็นพี่เป็นน้อง
พร้องตั้งค่ายตั้งเวียง.....................บ้านถิ่นเรียงรายมั่น
เร่งกระชั้นเข้ารียงราย...................เกาะเอานายเอาไพร่
ไว้ใจกายใจถึง............................ระวังพึงจงให้
ใส่ไคร้เอาเป็นเพื่อน.....................ใครแข็งกล่นเกลื่อนเสีย
ให้เมียผูกรัดรึง............................ให้เป็นจึ่งม่ามสาย
รายรอบเอาจงมั่น.........................จงเอาชั้นเป็นกล
กลให้เขาลอบลัน.........................ปล้นบ้านถิ่นเถื่อนไปมา
ระวาเพศแทบเวียง........................กลศึกอันนี้ชื่อว่าเรียงหลักยืน”



กลยุทธ์นี้คือการค่อยขยายอำนาจอย่างใจเย็น ค่อยๆรุกรานเข้าชิงพื้นที่ทีละนิด แล้วส่งคนของเราเข้ามาสร้างความคุ้นเคยอยู่อาศัย แต่งงานอยู่กินจนกลายเป็นพวกเราเลย

กลยุทธ์ ๒๑ : กลปืนพระราม
“กลชื่อว่าปืนพระราม..........ว่าอย่ามีความโกรธขึ้ง
ทรอึงใจหนักพฤกษ์.....................สำแดงศึกใหญ่มา
พาธาจงคอยฟัง..........................ให้ระวังถอยแกล้ง
แม่นอย่าแอ่วแวนไว้....................ได้แล้วกลับคืนรอด
ริรอบปลอดมีชัย.........................หวั่นไหวใจศัตรู
ดูสนั่นใจเศร้า.............................ให้พระยศเจ้ารุ่งเรือง
เลื่องลือเดชหาญห้าว....................ทุกทั่วท้าวเกรงขาม
ชื่อปืนพระรามสำเร็จ.....................ยี่สิบเอ็ดกลณรงค์
ด้วยประสงค์ดั่งนี้”


มาถึงกลยุทธ์สุดท้าย กลยุทธ์นี้ใจความอยู่ที่ “สำแดงศึกใหญ่มา พาธาจงคอยฟัง ให้ระวังถอยแกล้ง” ก็คือให้รู้จักถอย เมื่อข้าศึกมีกำลังพลมหาศาลเกินกว่าที่จะเอาชนะได้ ต้องรู้จักถอย

ที่มา : http://artofwar.e-forweb.com/artofwar.php?IDcat=3

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ปรับเวลา subtitle

ปกติช่วงเวลาที่ผมอยู่เฝ้าร้าน ผมจะนั่งดู youtube, tvonline และหนังที่ดาวน์โหลดมา คืนวันก่อนผมนั่งดู kill bill vol.1 จากช่อง movie one ผมชอบหนังหลาย ๆ เรื่องของ quentin tarantino เช่น เรื่อง from dust till down ทั้ง 3 ภาค ที่เป็นเรื่องของการต่อสู้กับเหล่าแวมไพร์ หรือเรื่อง hostel ทั้ง 2 ภาค ที่สยองมาก ๆ

เข้าไปดูใน imdb ก็พบว่ายังมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่ผมยังไม่ได้ดู ก็ลองเสิร์ชหาดูเรื่องล่าสุดมาดู คือเรื่อง hell ride ซึ่งเรื่องนี้ผมไม่ชอบนัก โดยในช่วงที่ผมเสิร์ชหาหนังเรื่องนี้มาดู ก็ไปสะดุดกับชื่อเรื่อง Departures (Japanese) เข้า เพราะเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมนอนฟังรายการหนังหน้าไมค์ ก็มีคนพูดถึงเรื่องนี้ว่าได้รับรางวัลมากมาย ผมก็เลยตัดสินใจดาวน์โหลดมาดู

ไฟล์ที่ผมดาวน์โหลดมาประกอบไปด้วย 2 ไฟล์ avi ซึ่งมีเฉพาะตัวหนัง ส่วนซับไตเติ้ลผมก็ไปเสิร์ชหาจากเว็บ subtitlesource.org เรื่องนี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ
ดูแล้วสนุก ซึ้ง แอบยิ้มในบางตอน แต่เสียน้ำตาอยู่หลายตอน ต้องบอกว่าเขียนบท และนักแสดงทุกคนแสดงได้ดีมาก ๆ


ดูไฟล์แรก ก็ไม่มีปัญหาอะไร ตัวหนังกับซับไตเติ้ลที่ดาวน์โหลดมาตรงกัน แต่ไฟล์ที่สองกับซับไตเติ้ลไม่ตรงกัน เวลาเหลื่อมกันอยู่ 15 วินาที ถ้าดูต่อไปคงไม่ดีแน่ หากจะเข้าไปปรับเวลาที่เหลื่อมกันในไฟล์ซับไตเติ้ล ด้วยการบวกลบเวลาด้วยตนเองแล้วละก็คงเป็นงานหนักแน่ เพราะอย่างที่ทราบเวลามีหน่วยเป็น 60 วินาที บวกกันเกิน 60 ก็ต้องมาปัดเป็นนาที และวินาที

แล้วโปรแกรมอะไรที่สามารถคำนวนได้ ก็ไม่พ้นไมโครซอฟท์เอ็กเซล ก็มาดูกันครับว่าขั้นตอนการทำเป็นอย่างไร

1. เปิดไฟล์ซับไตเติ้ลด้วยโปรแกรม notepad

2. คัดลอกข้อความทั้งหมดไปวางในเอ็กเซล

3. จะเห็นได้ว่ารูปแบบเวลาในไฟล์ซับไตเติ้ลจะเป็น 00:00:17,900 --> 00:00:19,727
4. ผมจะใช้แค่สูตรเดียวในการแยกนะครับ โดยมีหลักการดังนี้คือ แยกตัวเลขเวลา 8 ตัวแรกมาลบออก 15 วินาที และตัวเลขเวลาตั้งแต่ตัวที่ 18 ถึง 25 มาลบออก 15 วินาทีเช่นกัน
5. สูตรที่เซลล์ C2 คือ =TEXT(LEFT(A2,8)-TIME(0,0,15),"hh:mm:ss")&MID(A2,9,9)&TEXT(MID(A2,18,8)-TIME(0,0,15),"hh:mm:ss")&RIGHT(A2,4)

6. คัดลอกสูตรใส่เซลล์ด้านล่างทั้งหมด

7. คัดลอกเซลล์ที่เป็นสูตร แล้ววางเป็นค่า (paste values)

8. แทนที่ค่า Value! ด้วยค่าว่าง โดยกดแป้น ctrl+h เพื่อใช้การแทนที่

9. คัดลอกค่าที่เหลือในคอลัมน์ B ไปวางในคอลัมน์ A โดยวางแบบพิเศษ เลือกข้ามค่าว่าง (paste special > skip blanks

10. ลบค่าที่ได้ในคอลัมน์ B ทิ้ง
11. คัดลอกข้อความที่ได้ในข้อลัมน์ A ไปวางใน notepad แล้วบันทึก


เรียบร้อยครับ ดูหนังสบายใจ รู้เรื่ืองแน่นอน ที่สำคัญไปหาเรื่องนี้มาดูให้ได้นะครับ แนะนำเลย

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2552

โปรแกรม MPTool สำหรับรีเซตตลับหมึกแคนนอน

ก่อนหน้านี้ผมได้เคยเขียนวิธีรีเซตตลับหมึกแคนนอน mp160 ไป และได้ลงเว็บไซต์ของผู้เขียนโปรแกรมเพื่อให้เพื่อน ๆ เข้าไปดาวน์โหลดได้โดยตรง แต่ปรากฏว่าขณะนี้เว็บไซต์ดังกล่าวได้ปิดตัวเองไปแล้ว ผมจึงอัพโหลดโปรแกรมให้เพื่อน ๆ ที่ยังไม่มีเพื่อนำไปใช้งานตามลิงค์นี้ครับ
http://rapidshare.com/files/241394428/MPTool.exe.html
ซึ่งตัวนี้เป็นตัวอัพเดทที่ผมมีอยู่ล่าสุด คือ เวอร์ชั่น 0.9.6 ซึ่งคาดว่าสามารถรองรับปริ้นท์เตอร์รุ่นใหม่ ๆ ได้มากขึ้น (ตระกูล MP และ MX)


ส่วนวิธีการเข้า service mode ของปริ้นท์เตอร์ ถ้าเป็น mp160 ก็ขอให้ทำตามบทความที่ผมเคยโพสต์ก่อนหน้านี้ และสำหรับวิธีการเข้า Service Mode ของ mx318 ก็สามารถทำได้ดังนี้

1. ปิดเครื่องปริ้นท์เตอร์
2. กดปุ่ม Stop/Reset ค้างไว้ แล้วกดปุ่ม ON/OFF ค้างไว้ด้วย
3. ปล่อยปุ่ม Stop/Reset ในขณะที่ยังคงกดปุ่ม ON/OFF ค้างไว้อยู่
4. กดปุ่ม Stop/Reset 2 ครั้ง แล้วปล่อยปุ่ม ON/OFF
ปริ้นท์เตอร์จะเข้าสู่ Service Mode และให้รอจนกระทั่งหน้าจอปริ้นท์เตอร์แสดงข้อความ Idle แล้วจึงค่อยเปิดโปรแกรม MPTool เพื่อทำการรีเซตค่าที่ต้องการ

แต่ผมยังไม่เคยทดลองรีเซตนะครับ เนื่องจากตอนนี้ผมใช้หมึกแบบแทงค์ เพื่อนท่านใดใช้หมึกแบบเติม ก็ลองทดลองใช้งานดูครับ

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ให้คำปรึกษาด้านการตลาด โลจิสติกส์ เอ็กเซล ร้านเน็ตฟรี

ช่วงนี้เกิดอารมณ์เหงามากมาย คนโสดก็แบบนี้ละครับ อยากออกไปเปลี่ยนบรรยากาศใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ ๆ
หากใครต้องการคำปรึกษาด้านการตลาด โลจิสติกส์ เอ็กเซล ร้านเน็ต ติดต่อเข้ามาได้ครับ เดี๋ยวผมไปช่วยฟรี
ค่าเดินทางผมออกเอง เพียงแต่ผมขอไปกินข้าวกับพักที่บ้านคุณละกัน แบบโฮมสเตย์ ถ้าเป็นต่างจังหวัดจะดีมาก
ยินดีไปทั่วประเทศครับ ขอพักซักสัปดาห์นึงนะครับ

ขอแค่ที่ซุกหัวนอน กับข้าวกิน 3 มื้อละกัน ยินดีสอนงานทุกอย่างครับ เพราะความรู้ผมก็ไม่รู้จะเก็บไว้คนเดียวทำไม
มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันครับ

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552

การโคลนฮาร์ดดิสก์ด้วยนอร์ตันโกสต์ผ่านระบบแลน ตอนที่ 3

เมื่อเรามีอุปกรณ์พร้อมแล้ว ก็มาเริ่มกันเลยครับ โดยตอนนี้ผมจะพูดถึงการโคลนแบบเครื่องต่อเครื่อง หรือ peer to peer ก่อนนะครับ

การโคลนแบบ peer to peer เป็นการโคลนจากเครื่องหนึ่งไปอีกเครื่องหนึ่งผ่านระบบแลน โดยผมขอเรียกเป็นเครื่อง master กับเครื่อง slave ละกันนะครับ เพื่อให้สอดคล้องกับชนิดของฮาร์ดดิสก์ในโปรแกรมโกสต์
โดยเราจะทำการโคลนฮาร์ดดิสก์เครื่อง master ไปยังเครื่อง slave ซึ่งมีวิธีการดังนี้

ข้อกำหนดเบื้องต้น
1. คอมพ์ที่ใช้งานสามารถตั้งค่าให้บู๊ตจาก USB-HDD ได้
2. มีการ์ดแลนเพียงตัวเดียว หากมีการติดตั้งมากกว่า 1 ให้เอาออกให้เหลือเพียง 1 ตัว
3. ข้อมูลที่ทำการโคลนมีข้อมูลไม่เกินความจุของฮาร์ดดิสก์ที่จะโคลน
4. วงแลนมี DHCP จ่าย IP ให้เครื่องลูก

เครื่อง slave - เครื่องที่เราต้องการโคลน
1. เสียบแฟลชไดร์ฟที่เราทำไว้กับเครื่อง แล้วเปิดเครื่อง
2. เข้าไปตั้งค่าใน BIOS ให้บู๊ตด้วย USB-HDD เป็นอันดับแรก แล้วบันทึกค่าที่ตั้งไว้


3. เครื่องจะบู๊ตผ่านแฟลชไดร์ฟ และแสดงหน้าจอดังภาพ

4. โปรแกรมจะค้นหาการ์ดแลน และแสดงชื่อให้เห็น

5. ให้รอ 20 วินาทีหรือกดแป้น ESC เพื่อทำงานต่อไป
6. โปรแกรมจะร้องขอ IP address จาก DHCP
7. เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว โปรแกรมจะแสดง C:\ ซึ่งสามารถถอดแฟลชไดร์ฟออกได้เลย
8. พิมพ์คำสั่ง ghost และกดแป้น ENTER เพื่อเข้าสู่โปรแกรมนอร์ตันโกสต์
9. ใช้แป้นลูกศรเลื่อนคำสั่งไปที่ Peer to peer > TCP/IP > Slave แล้วกดแป้น ENTER

10. โปรแกรมจะแสดงหมายเลข IP ของเครื่อง


เครื่อง master - เครื่องฮาร์ดดิสก์ต้นฉบับ
1. เสียบแฟลชไดร์ฟที่เราทำไว้กับเครื่อง แล้วเปิดเครื่อง
2. เข้าไปตั้งค่าใน BIOS ให้บู๊ตด้วย USB-HDD เป็นอันดับแรก แล้วบันทึกค่าที่ตั้งไว้
3. เครื่องจะบู๊ตผ่านแฟลชไดร์ฟ และแสดงหน้าจอดังภาพ
4. โปรแกรมจะค้นหาการ์ดแลน และแสดงชื่อให้เห็น
5. ให้รอ 20 วินาทีหรือกดแป้น ESC เพื่อทำงานต่อไป
6. โปรแกรมจะร้องขอ IP address จาก DHCP
7. เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว โปรแกรมจะแสดง C:\ ซึ่งสามารถถอดแฟลชไดร์ฟออกได้เลย
8. พิมพ์คำสั่ง ghost และกดแป้น ENTER เพื่อเข้าสู่โปรแกรมนอร์ตันโกสต์
9. ใช้แป้นลูกศรเลื่อนคำสั่งไปที่ Peer to peer > TCP/IP > Master แล้วกดแป้น ENTER

10. ให้ใส่หมายเลข IP ของเครื่อง slave ในกล่องข้อความ แล้วกดแป้น ENTER

11. <ไว้มาเขียนเพิ่มนะครับ ไปหารูปก่อน>

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2552

การโคลนฮาร์ดดิสก์ด้วยนอร์ตันโกสต์ผ่านระบบแลน ตอนที่ 2

หลังจากที่ดาวน์โหลดโปรแกรมที่จำเป็นในการโคลนมาได้เรียบร้อยแล้ว เราก็มาเตรียมแฟลชใดร์ฟให้พร้อมใช้งานกันครับ
โดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วนด้วยกันคือ

ส่วนที่ 1 เตรียมไฟล์ระบบ
1. เปิดโปรแกรม Virtual Floppy Disk โดยการแยกไฟล์ต่าง ๆ ในไฟล์ vfd21-080206.zip ที่ดาวน์โหลดมา ได้ดังภาพ

2. ดับเบิ้ลคลิกไฟล์ vfdwin.exe เพื่อเปิดหน้าต่างโปรแกรม VFD Control Panel

3. ที่หน้าแท็บ Driver ให้คลิกปุ่ม Install และ ปุ่ม Start ตามลำดับ

4. เปลี่ยนไปหน้าแท็บ Drive 0 แล้วคลิกปุ่ม Change... และเลือกตัวอักษรไดร์ฟตามต้องการ แล้วคลิกปุ่ม OK (ผมเลือก B เพราะเครื่องผมมีฟล็อปปี้ไดร์ฟ A อยู่แล้ว)

5. ที่ My Computer จะปรากฏฟล็อปปี้ไดร์ฟ B: เพิ่มขึ้นมา

6. กลับมาที่โปรแกรม Virtual Floppy Disk ที่หน้าแท็บ Drive 0 ให้คลิกปุ่ม Open/Create... จะปรากฏหน้าต่าง Open Virtual Floppy Image ขึ้นมา ก็ขอให้กดปุ่ม Create ได้เลย

7. ที่ My Computer ให้คลิกขวาที่ไดร์ฟ B แล้วเลือกคำสั่ง Format ... โปรแกรมจะเปิดหน้าต่าง Format ขึ้นมา ก็ให้ทำเครื่องหมายถูกที่หน้าคำสั่ง Create an MS-DOS startup disk แล้วคลิกปุ่ม Start

8. โปรแกรมจะแสดงหน้าต่างคำเตือนขึ้นมา ก็ให้คลิกปุ่ม OK

9. เมื่อฟอร์แมตเสร็จแล้ว ให้เปิดเข้าไปดูไฟล์ในไดร์ฟ B ก็จะได้ไฟล์บู๊ตระบบดังภาพ


ส่วนที่ 2 ฟอร์แมตแฟลชไดร์ฟ
10. เสียบแฟลชไดร์ฟที่เราต้องการใช้เป็นตัวบู๊ตเข้ากับเครื่อง ข้อมูลที่มีอยู่ภายในแฟลชไดร์ฟนี้จะหายไปทั้งหมดนะครับ ควรทำสำเนาไฟล์ที่ต้องการเก็บไว้ก่อน
11. ติดตั้งโปรแกรม HP USB Disk Storage Format Tool ที่ดาวน์โหลดมา และเปิดโปรแกรมขึ้นมา

12. โปรแกรมจะเลือกแฟลชไดร์ฟที่หาพบในช่อง Device ถ้าไม่ใช่ก็เปลี่ยนเป็นแฟลชไดร์ฟอันที่ถูกต้อง
13. เลือก File system เป็น FAT 32
14. Volume label จะกำหนดหรือไม่ก็ได้ เพราะค่านี้จะถูกเขียนทับในขั้นตอนถัดไป
15. คลิกทำเครื่องหมายถูกที่ช่อง Create a DOS start disk และเลือกไดร์ฟ B:\ ในช่อง using DOS system files located at:
16. คลิกปุ่ม Start เพื่อฟอร์แมตและสร้างไฟล์ระบบ โปรแกรมจะแสดงหน้าต่างเตือน ก็ให้คลิกปุ่ม Yes
17. เมื่อโปรแกรมฟอร์แมตแฟลชไดร์ฟเรียบร้อยแล้วจะแสดงหน้าต่างสรุปขึ้นมา ก็ให้คลิกปุ่ม OK เพื่อปิดหน้าต่าง
18. ปิดโปรแกรม HP USB Disk Storage Format Tool และ VFD Control Panel โดยการปิดโปรแกรม VFD ทำได้ดังนี้
19. ที่หน้า Drive 0 คลิกปุ่ม Close แล้วตอบ No แล้วเปลี่ยนไปหน้าแท็บ Driver ให้คลิกปุ่ม Stop และ Uninstall ตามลำดับ จากนั้นก็ปิดหน้าต่างโปรแกรมได้เลย

ส่วนที่ 3 ทำแฟลชไดร์ฟให้บู๊ตได้
20. แยกไฟล์ netboot64.zip ที่ดาวน์โหลดมาจะได้ไฟล์ต่าง ๆ ดังภาพ

21. ดับเบิลคลิกไฟล์ MakeDisk.bat เพื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมา

22. เคาะแป้นพิมพ์ใด ๆ เพื่อเปลี่ยนไปอีกหน้าจอหนึ่ง
23. ให้ใส่ตัวอักษรไดร์ฟของแฟลชไดร์ฟที่เราฟอร์แมตในขั้นตอนก่อนหน้านี้ ในที่นี้ของผมเป็นไดร์ฟ f: แล้วกดแป้น Enter

24. พิมพ์คำว่า USB เพื่อบอกว่าไดร์ฟที่เราระบุเป็น USB ไดร์ฟ แล้วกดแป้น Enter 2 ครั้ง

25. โปรแกรมจะเริ่มคัดลอกไฟล์ที่จำเป็นไปยังแฟลชไดร์ฟที่เราระบุ หากโปรแกรมแสดงข้อความแบบนี้ให้กดปิดหน้าต่างโปรแกรมได้เลย


ส่วนที่ 4 ปรับแต่งคำสั่ง
26. ติดตั้งโปรแกรม Ghost Solution Suite ที่ดาวน์โหลดมา

27. ในขั้นตอนการติดตั้งให้เลือกติดตั้งเฉพาะไฟล์ที่ต้องการใช้งานดังภาพ หรือจะติดตั้งทั้งหมดก็ได้เพียงแต่จะเสียเวลาเปล่า ๆ

28. เมื่อติดตั้งเรียบร้อยแล้วให้เปิด Windows Explorer และเข้าไปที่ C:\Program Files\Symantec\Ghost และคัดลอกไฟล์ ghost.exe, ghostsrv.exe และ ghstwalk.exe ไปไว้ที่ C:\ghost

29. เมื่อคัดลอกไฟล์ที่ต้องการทั้ง 3 เรียบร้อยแล้ว ให้ uninstall โปรแกรม Ghost Solution Suite ออกไปได้เลย
30. จากนั้นคัดลอกไฟล์ ghost.exe และ ghstwalk.exe จาก C:\ghost ไปไว้ที่ F:\NetBoot\FileCopy

31. เปิดไฟล์ CONFIG.SYS ที่ F:\ ขึ้นมา

32. แก้ไขตัวเลขในบรรทัดที่ 3 จากด้านล่าง โดยแก้จาก 8192k เป็น 16384k แล้วบันทึก และปิดไฟล์ไป


เป็นอันเรียบร้อยในการเตรียมแฟลชไดร์ฟสำหรับบู๊ตผ่านแลน จริง ๆ ยังมีเทคนิคการเขียนแบตช์ไฟล์ให้ทำงานอัตโนมัติอยู่ แต่ผมขอข้ามไปนะครับ

แล้วตอนต่อไปมาเรียนรู้วิธีการโคลนกันครับ

การโคลนฮาร์ดดิสก์ด้วยนอร์ตันโกสต์ผ่านระบบแลน ตอนที่ 1

โปรแกรมนอร์ตันโกสต์เป็นโปรแกรมที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในการโคลนฮาร์ดดิสก์ สมัยที่ผมเคยเป็นอาจารย์สอนคอมพิวเตอร์ที่โรงเรียนกวดวิชาแห่งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน
ปัญหาหนึ่งในห้องเรียนก็คือ หลังจากสอนนักเรียนในแต่ละรุ่นจบลง คอมพิวเตอร์ที่ให้นักเรียนใช้จะถูกปรับเปลี่ยนไปอย่างมาก ทำให้เวลาสอน เมื่อบอกให้นักเรียนทำตามตัวอย่างที่ผมทำให้ดู
นักเรียนบางคนไม่สามารถทำตามได้ เนื่องจากหน้าจอ แถบเครื่องมือ หรือค่าเริ่มต้นของโปรแกรมได้ถูกปรับเปลี่ยนไป ไม่เหมือนกันซักเครื่อง ทำให้ต้องเสียเวลาเดินไปดูที่โต๊ะ และปรับเปลี่ยนกลับมาให้เหมือนเดิม

ปัญหาดังกล่าวนี้สามารถแก้ไขได้ ด้วยการใช้การ์ดอันดู แต่โรงเรียนที่ผมสอนนั้นไม่ได้จัดซื้อมาใช้ ดังนั้นทุก ๆ สัปดาห์ผมจึงต้องโคลนอาร์ดดิสก์ทุกเครื่องใหม่ ให้เหมือนกัน ตอนนั้นก็ใช้วิธีถอดฮาร์ดดิสก์ออกมาทำการโคลน
หรือโคลนผ่านสาย LPT โดยใช้แผ่นฟล็อปปี้ดิสก์ในการเริ่มต้นระบบ วิธีการก็ใส่แผ่นฟล็อปปี้ดิสก์ทุกเครื่องแล้วเปิดเครื่อง จากนั้นโปรแกรมก็จะทำตามแบตช์ไฟล์ที่เราเขียนไว้ ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีก็เสร็จเรียบร้อยทั้งระบบ
เนื่องจากฮาร์ดดิสก์สมัยนั้น 100 กว่าเม็กแค่นั้นเอง

มาสมัยนี้ฟล็อปปี้ดิสก์ไดร์ฟก็ไม่เป็นที่นิยมกันแล้ว โดยเครื่องคอมฯรุ่นใหม่ ๆ จะมาพร้อมกับซีดีรอมไดร์ฟ และเมมโมรี่การ์ดรีดเดอร์สเท่านั้น แต่ถ้าเป็นเครื่องในห้องเรียนหรือตามร้านเกมส์บางแห่งก็จะไม่มีทั้งสองไดร์ฟนี้
แล้วจะทำอย่างไร? ก็ใช้ความสามารถของคอมพ์รุ่นใหม่ที่สามารถบู๊ตด้วยอุปกรณ์ที่เชื่อมผ่านพอร์ต USB นั่นเอง โดยอุปกรณ์ที่เป็นที่นิยมและมีราคาไม่แพงก็คือ แฟรชไดร์ฟนั่นเอง

สมมุติว่าคอมพ์ในร้านหรือในห้องเรียนไม่มีฟล็อปปี้ไดร์ฟและซีดีรอมไดร์ฟเลย แต่ทุกเครื่องมีพอร์ด USB และ BIOS ของเครื่องสามารถบู๊ตผ่านอุปกรณ์ USB ได้ ถ้าคอมพ์คุณอายุไม่เกิน 5 ปีคาดว่าสามารถบู๊ดผ่านอุปกรณ์ USB ได้ทั้งหมด
แต่ถ้าคอมพ์คุณไม่สามารถบู๊ตผ่านอุปกรณ์ USB ได้แนะนำให้ทำการโคลนแบบเดิมคือถอดฮาร์ดดิสก์มาต่อโดยตรง สมัยก่อนผมใช้ฮาร์ดดิสก์แร็คที่ใส่ในช่องซีดีรอม และสามารถไขกุญแจถอดเอาฮาร์ดดิสก์ออกไปต่อกับเครื่องอื่น ๆ ได้

อุปกรณ์ที่ต้องมี
1. คอมพิวเตอร์ที่สามารถบู๊ตผ่านอุปกรณ์ USB ได้ และติดตั้งการ์ดแลนที่เชื่อมต่อกับระบบแลนที่ใช้งานได้
2. แฟลชไดร์ฟขนาดความจุไม่ต่ำกว่า 32 เมก
3. โปรแกรมที่จำเป็นตามรายละเอียดด้านล่าง
4. เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการวินโดว์ส เอ็กซ์พี

ความเร็วของการโคลนขึ้นกับปัจจัยดังต่อไปนี้
1. สายแลนคุณภาพดี สายแลนปลอมหรือคุณภาพต่ำ ก็เหมือนในโฆษณาสายแลนยี่ห้อนึง ที่ช้าเป็นเต่าไงครับ แนะนำให้เอาไปปล่อย ;P
2. สวิตช์คุณภาพดี ไม่ใช่ฮับ เพราะการโอนถ่ายข้อมูลความเร็วต่างกันมาก
3. หากเป็นฮาร์ดดิสก์ IDE ต้องมั่นใจว่าสายเชื่อมต่อมีความเร็วตรงกับสเปคฮาร์ดดิสก์ ถ้าไม่ใช่ก็เปลี่ยนเส้นใหม่ให้ถูกต้อง

เมื่อตรวจสอบว่ามีอุปกรณ์ครบและฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ มีความพร้อมแล้ว ให้ดาวน์โหลดโปรแกรมต่าง ๆ ต่อไปนี้มาไว้
1. Ghost Solution Suite ขนาด 434 MB
2. Virtual Floppy Drive ขนาด 140 KB
3. HP USB Disk Storage Format Tool ขนาด 1.97 MB
3. Netbootdisk ขนาด 1.3 MB

ก็ดาวน์โหลดมาให้พร้อมนะครับ แล้วค่อยมาต่อกันในตอน 2

วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2552

สวัสดีวันสงกรานต์

สงกรานต์ปีนี้คนไทยมีความสุขน้อยที่สุด อันเนื่องมาจากการประท้วงของกลุ่มก่อความไม่สงบ

จากสถานการณ์ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา วิเคราะห์ได้ว่าคุณทักษิณได้ตัดสินใจไม่กลับประเทศไทยแล้ว และพยายามหาทางลี้ภัยการเมืองในต่างประเทศ โดยพยายามสร้างสถานการณ์ต่าง ๆ ขึ้นมา เพื่อจะได้มีเหตุในการขอลี้ภัย และไม่ถูกส่งตัวกลับประเทศ

ปัจจุบัน ทหาร ตำรวจ ด้อยประสิทธิภาพในการวางแผนทำงานลงมาก แทนที่จะยึดมั่นในการรักษากฎหมาย กลับเป็นกลัวความผิดที่จะตามมา ส่วนหนึ่งมาจากการขาดความเชื่อมั่นในผู้บังคับบํญชา ที่ไม่แน่ใจว่าหากตนทำตามกฎหมายแล้วมีความผิดพลาดเกิดขึ้น ผู้บังคับบัญชาสามารถปกป้องตนเองได้หรือไม่

การรับมือกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบสามารถกระทำได้ไม่ยากนัก เพราะจุดอ่อนของกลุ่มก่อความไม่สงบครั้งนี้ อยู่ที่การกระจายกันทำงาน ไร้เอกภาพ หากมีการวางแผนที่ดีก็สามารถจัดการได้โดยง่าย โดยเริ่มจาก
1. การปิดกั้นการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน เพื่อโดดเดี่ยว
2. การตัดเสบียง ทั้งน้ำและอาหาร เพื่อลดทอนขวัญและกำลังใจ
3. การปล่อยข่าวลือเพื่อสร้างความสับสน และแตกแยก
4. การกดดันให้กระทำความผิด เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้กำลัง
5. การเปิดช่องให้แยกย้ายกลับ
6. การใช้กำลังเข้าจับกุม

โดยขอให้ติดตามแกนนำกลุ่มให้ใกล้ชิด เพราะเมื่อใดที่มีเหตุการณ์ความรุนแรงมากขึ้น คาดว่ากลุ่มแกนนำจะหนีออกนอกประเทศเพื่อไปย้ายไปอยู่กับคุณทักษิณเป็นแน่แท้ เพราะขณะนี้กลุ่มแกนนำคงเริ่มรู้ตัวแล้วว่า โอกาสชนะคงเป็นไปได้ยาก เพียงแต่สถานการณ์ขนะนี้พาไป

แล้วจะมีทางที่จะไม่ก่อให้เกิดความรุนแรงได้หรือไม่ หนทางยังมีอยู่หากคนไทยทุกคนออกมาต่อต้าน ผมขอเน้นว่าคนไทยทุกคน ไม่ใช่กลุ่มคนเสื้อเหลือง เพราะถ้าเสื้อเหลืองออกหน้าก็จะเกิดความรุนแรงอีกแน่

กลุ่มก่อความไม่สงบพยายามสร้างความชอบธรรมในการก่อความไม่สงบ ว่าเป็นตัวแทนส่วนใหญ่ของคนไทย แต่ถ้าคนไทยส่วนใหญ่ตัวจริงออกมาต่อต้านการกระทำดังกล่าว ผมคิดว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ คงสงบลงโดยไม่มีความรุนแรง

เพียงแต่จะมีใครออกหน้าล่ะ กลุ่มนักศึกษาหรือ? กลุ่มพ่อค้าหรือ? กลุ่มชาวบ้านทั่วไปหรือ? ขณะนี้ยังมองไม่เห็น

เหตุที่คนไทยปัจจุบันมีความคิดและการกระทำที่เห็นแก่ตัว อยากเด่นอยากดัง ไร้ประสิทธิภาพในการทำงานเป็นทีม ผมมองว่าเกิดจากสื่อโทรทัศน์ของไทยที่ปลูกฝังความคิดให้ โดยเฉพาะละครต่าง ๆ ทั้งละครจีน ที่ปลูกฝังความต้องการเป็นฮีโร่ เด่นดัง เก่งคนเดียว ละครไทย ที่ปลูกฝังการแก่งแย่งชิงดี เห็นใครดีกว่าเป็นไม่ได้

ซึ่งหากปล่อยไว้แบบนี้อีก 10 ปี 20 ปีข้างหน้า คนไทยก็จะมีสภาพการณ์ที่เลวร้ายมากกว่านี้อย่างแน่นอน

เพราะฉะนั้นหากพ้นวิกฤตนี้ไปแล้ว ผมอยากให้รัฐมองถึงอนาคตของคนไทยในอีก 20-30 ปีข้างหน้า และลงมาควบคุมละครต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น เพื่ออนาคตของลูกหลานคนไทย

วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2552

ทางออกอยู่ที่ไหน

ช่วงนี้ถามใคร ใคร ๆ ก็กังวลกับสภาวะเศรษฐกิจ ทั้งภายนอกและภายในประเทศ วิตกกังวลกับการว่างงาน คนที่ทำงานอยู่ ก็กังวลว่าอาจจะถูกเลิกจ้าง คนที่หางาน ก็กังวลว่าจะไม่ได้งานทำ

ผมมานั่งคิดดู กลับพบว่าเป็นโอกาสของคนไทยด้วยซ้ำ แล้วมีโอกาสอะไรบ้าง ลองมาดูกัน

ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก แต่ขณะนี้พบว่าตลาดผู้ซื้อใหญ่ของไทยซึ่งก็คือ สหรัฐอเมริกาเกิดภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนลดลง เนื่องจากเกิดความไม่มั่นในฐานะการงาน และเงินของตนเอง ที่เป็นผลต่อเนื่องมาจากสถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้ให้ทั้งกับภาคเอกชนและบุคคล จนรัฐบาลต้องเข้ามาเป็นผู้ดูแล เช่นเดียวกับประเทศไทย

เมื่อคนเกิดภาวะไม่มั่นใจเช่นนี้ พฤติกรรมในการใช้จ่ายย่อมเปลี่ยนไป การใช้จ่ายก็จะใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น ได้แก่ ปัจจัยสี่ (อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค)

แล้วทำอย่างไรจะประหยัดงบในการใช้จ่ายสิ่งเหล่านี้ได้มากที่สุด หนึ่งก็ต้องซื้อเฉพาะสินค้าที่มีคุณภาพ การผลิตไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ในราคาที่ต่ำ

แล้วมีหรือ? ของราคาถูก คุณภาพสูง หาได้ที่ไหนล่ะ

คำตอบคือ ก็สินค้าจากเมืองไทยที่ล่ะ ที่เราต้องหันมาเน้นเรื่องคุณภาพสินค้าให้สูงสุด ได้มาตรฐาน ISO ทุกตัว รวมไปถึง SA ด้วย

อาหาร - ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ผลิตอาหารป้อนชาวโลกอยู่แล้ว นอกจากอาหารที่เป็นวัตถุดิบแล้ว อาหารสำเร็จรูปต่าง ๆ ก็ต้องพัฒนาต่อยอดให้มีคุณภาพทัดเทียมได้

ที่อยู่อาศัย - ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่ดี เหมาะแก่การเข้ามาท่องเที่ยว พักอาศัยแบบโฮมสเตย์ โดยมีค่าใช้จ่ายต่ำ และคนไทยก็พร้อมต้อนรับชาวต่างชาติทุกประเทศ ยกเว้นแอฟริกา อย่าไปต้อนรับมาก เพราะเกินครึ่งที่เข้ามา เข้ามาทำธุรกิจผิดกฏหมาย

เครื่องนุ่งห่ม - วัตถุดิบด้านสิ่งทอเรามีมากมาย เพียงแต่ต้องออกแบบให้ตรงกับความต้องการ และมีคุณภาพสูง

ยารักษาโรค - เรามีโรงพยาบาล แพทย์ และพยาบาลมากมายทั่วประเทศ ที่พร้อมรักษาในราคาที่ถูกกว่า

ผมมองว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยสี่นี่ล่ะ ที่จะนำพาประเทศไทยให้รอดพ้นภาวะวิกฤตได้ เพียงแต่มีปัจจัย 2 ประการที่ต้องทำ คือ
1. คุณภาพ ขอให้เน้นเรื่องนี้เป็นสำคัญที่สุด ลดอะไรลดได้ แต่อย่าลดคุณภาพ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดีที่สุด ที่จะมีการอบรมพนักงานทุกคนในเรื่องการให้บริการ การพัฒนาสถานที่ เอา ISO ที่เคยได้มา มานั่งดูอีกครั้งว่าสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นอีก และนำมาใช้อย่างจริงจัง เพราะผมเห็นหลาย ๆ บริษัท โดยเฉพะบริษัทคนไทยแท้ ที่ทำ ISO เพื่อจะได้ชื่อว่ามี ISO แต่ไม่ได้นำมาใช้อย่างจริงจังเลย เมื่อมีการประเมิน ก็จะโรยผักชีกับผู้ตรวจ เมื่อผ่าน ก็กลับไปทำตามความเคยชินเช่นเดิม
2. การประชาสัมพันธ์ เมื่อมีของดีก็ต้องอวดกันหน่อย สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ อินเตอร์เน็ต หากบริษัทใดยังไม่มีเว็บไซต์ของตนเอง ก็เริ่มลงมือทำได้แล้วครับ สิ่งนี้จะเป็นโอกาสในธุรกิจ และเมื่อทำแล้วก็ขอให้ทำแบบมืออาชีพจริง ๆ หากนึกไม่ออกว่าทำแบบมืออาชีพทำอย่างไร ก็ขอให้เข้าไปดูเว็บไซต์บริษัทที่ทำธุรกิจเดียวกัน หรือใกล้เคียง แล้วนำมาประยุกต์ใช้ มีจุดเด่นอะไร ลิสต์ขึ้นมา 3 อย่าง แล้วก็เน้นที่ 3 อย่างนี่ล่ะ ไม่ต้องดีครอบจักรวาลหรอกครับ นอกจากเว็บไซต์แล้ว เวลาที่หน่วยงานราชการจัดโรดโชว์ต่างประเทศก็ต้องตามไปออกด้วย

ผมขอให้เน้น 2 สิ่งนี้ก่อน ส่วนอื่น ๆ ค่อยว่ากัน แต่ก็อาจมีปัญหาอยู่ว่าทั้งสองสิ่งนี้ยังไม่เห็นรายได้กลับมาทันทีทันใด ในขณะที่บริษัทก็ยังต้องจ่ายค่าจ้างพนักงาน และยอดขายบริษัทก็ตกลงไป แน่นอนก็ต้องกลับมาเรื่องการลดต้นทุน

ผมอยากให้ศึกษาเรื่องโลจิสติกส์อย่างจริงจัง หรือจ้างที่ปรึกษามาช่วย จะจากเอกชนหรือหน่วยงานราชการก็แล้วแต่

โลจิสติกส์ในความหมายผมไม่ใช่การขนส่ง แต่หมายถึงทุกกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวในองค์กร เช่น การติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ก็ถือเป็นโลจิสติกส์อย่างหนึ่ง การทำงานประจำวันของพนักงาน ก็ถือเป็นโลจิสติกส์อย่างหนึ่ง ทุกขึ้นตอนการผลิตก็ถือเป็นโลจิสติกส์

ลองหาหนังสือเกี่ยวกับการผลิตแบบโตโยต้า หรือลีน มาศึกษาดูนะครับ มีแปลไทยหลายเล่ม เช่น Toyota way, Lean logistics เป็นต้น

สุดท้ายคงฝากไปถึงรัฐบาล ที่ขอให้ช่วยก็คือ
1. การพัฒนาความรู้เรื่องISO, SA และลีน ให้กับบริษัทเอกชน
2. ดึงภาคเอกชนไปร่วมโรดโชว์ตามประเทศต่าง ๆ ให้มากขึ้น โดยเฉพาะโรงพยาบาล และโฮมสเตย์
3. ปล่อยค่าเงินบาทให้ต่ำลงมากกว่านี้ ผมมองที่ 39 บาทกำลังดี

สุดท้ายนี้ เมื่อบริษัทที่ทำเกี่ยวกับปัจจัยสี่นี้ดีขึ้นแล้ว ผมเชื่อว่าจะส่งผลให้ธุรกิจอื่น ๆ ภายในประเทศดีตามไปด้วยอย่างแน่นอน

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2552

สวัสดีปีใหม่ครับ

ห่างหายไปนาน ประมาณ 6 เดือน ก็ออกไปหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ทำน่ะครับ ช่วงนี้ก็เริ่มว่างอีกแล้ว ก็ขอกลับมาอัพเดทบล็อคต่อนะครับ

ก็ขอสวัสดีปีใหม่เพื่อน ๆ ทุกท่าน ไม่ว่าจะปีใหม่ฝรั่ง สากล จีน และไทยในไม่ช้านี้

ปีนี้คงเป็นปีที่เราจะได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติมมากขึ้นอีกแน่นอน โดยเฉพาะในสภาพที่ทุกคนกำลังคิดว่าเศรษฐกิจแย่อยู่นี้
ผมอยากให้ช่วยกันศึกษากลยุทธ์การตลาดของสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ให้ดี เก็บไว้ศึกษาเพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับงานของเรา

สุดท้ายฝากไว้นะครับ หากมีคำถามเกี่ยวกับ การตลาด การบริหาร โลจิสติกส์ และคอมพิวเตอร์ ก็สามารถสอบถามเข้ามาได้ครับ
ผมจะได้เจาะประเด็นเอามาเขียนแลกเปลี่ยนความรู้กันได้

ยังไงก็ขอให้มีความสุขนะครับ ยึดหลักพอเพียง หยุดความอยากมี อยากได้ลงบ้างนะครับ